กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อคน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 28 มี.ค.พุ่งขึ้น 7.4 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 319.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนต.ค.2550 ขณะที่สต็อคน้ำมันเบนซินลดลง 4.5 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 224.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการน้ำมันเบนซินที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง และสต็อคน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันดีเซลและน้ำมันฮีทติ้งออยล์ ลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 109.7 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานระบุว่า อัตราการกลั่นน้ำมันอยู่ที่ระดับ 82.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 82.2% ส่วนความต้องการน้ำมันเบนซินโดยเฉลี่ยอยู่พุ่งขึ้น 214,000 บาร์เรล/วัน แตะระดับ 9.33 ล้านบาร์เรล สต็อคน้ำมันข้างต้นไม่นับรวมกับคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) ของสหรัฐซึ่งปัจจุบันมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ประมาณ 689 ล้านบาร์เรล แต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แห่งสหรัฐ ประกาศให้ปรับเพิ่มคลังน้ำมันสำรองประเภทดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับภาวะติดขัดที่อาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการโจมตีของผู้ก่อการร้าย สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน