นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT)กล่าวว่า ปตท.คาดว่ายังจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซ LPG อีกประมาณ 8 แสนตันในปี 52 จากปีนี้ที่คาดว่าจะนำเข้าราว 2 แสนตัน
เนื่องจากคาดว่าความต้องการใช้ก๊าซหุงต้ม(LPG)ยังคงจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 10% โดยคาดว่าความต้องการใช้จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณปีละ 10% หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 แสนตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีการใช้ประมาณปีละกว่า 3 ล้านตัน
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ปริมาณแอลพีจีที่จะนำเข้าคงไม่สามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความต้องการใช้ในอนาคต และราคาแอลพีจีที่จะประกาศในเดือน ก.ค.จะเป็นอย่างไร
ส่วนปัญหาการลักลอบนำไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านนั้น นายเมตตา กล่าวว่า ไม่ใช่การลักลอบเพราะไม่ได้ห้ามส่งออก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน แต่มีปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เพื่อดูแลไม่ให้มีการส่งออกในช่วงที่ขาดแคลน กรมธุรกิจพลังงานจะเริ่มกวดขันการส่งออก โดยผู้ที่จะส่งออกต้องได้รับใบอนุญาตให้สามารถนำไปจำหน่ายได้และจะมีการจำกัดปริมาณการส่งออกให้น้อยลง
พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รมว.พลังงาน กล่าวว่า มีความกังวลเรื่องปริมาณการใช้ก๊าซหุงต้ม(LPG)ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคขนส่ง ซึ่งจะพยายามเร่งรัดให้มีการใช้ก๊าซ NGV เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน โดยได้ให้ ปตท.รายงานปัญหาให้ทราบเพื่อจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
โดยในเดือน ก.ค.นี้จะเห็นโครงสร้างราคาจำหน่ายแอลพีจีอย่างน้อย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มครัวเรือน กับกลุ่มอุตสาหกรรมและขนส่ง ซึ่งคาดว่า ปริมาณการใช้น่าจะลดน้อยลง
ส่วนการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำมาชดเชยราคาพลังงานนั้น กระทรวงพลังงานมีนโยบายจะใช้เงินดังกล่าวให้ตรงตามวัตถุประสงค์ฯ จะไม่ให้กองทุนฯอยู่ในสถานการณ์ที่ติดลบ และยืนยันว่าจะไม่มีการเก็บเงินเพิ่มเข้ากองทุนฯ
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/ธนวัฏ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--