นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 35.18 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้า ที่เปิดตลาดที่ระดับ 35.37 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 35.16 - 35.42 บาท/ดอลลาร์
วันนี้เงินบาทแข็งค่าสวนทางสกุลเงินในภูมิภาค ปัจจัยหลักคาดว่ามาจากเรื่องการเมืองในประเทศ
นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.10 - 35.40 บาท/ดอลลาร์ โดยพรุ่งนี้ต้องจับตาการโหวต เลือกนายกรัฐมนตรีของไทย
- ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 145.74 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 145.21 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.0903 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0879 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,525.85 จุด เพิ่มขึ้น 6.73 จุด (+0.44%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 46,018.47 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 396.58 ลบ. (SET+MAI)
- สภาพัฒน์ ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงเหลือ 2.5-3.0% จากเดิมคาด 2.7-3.7% ซึ่ง
การปรับลดประมาณการ GDP มีปัจจัยหลักมาจากการหดตัวอย่างต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาส ของการส่งออกไทย ซึ่งมีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ
ของประเทศคู่ค้าหลักยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ โดยสภาพัฒน์ ยังได้ปรับลดประมาณการส่งออกไทยในปีนี้เป็น -1.8% จากเดิมคาดไว้ที่ -1.6%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ ปรับลดลงมาที่ 1.7-2.2% จากเดิม 2.5-3.5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
- พรรคเพื่อไทย แถลงการณ์ความพร้อมจัดตั้งรัฐบาล พร้อมพรรคการเมืองรวม 11 พรรค จำนวน 314 เสียง ร่วมกัน
จัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลมี
มติร่วมกันเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี
- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเดือนก.ค. 66 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ
6,848 ราย เพิ่มขึ้น 16.9% จากเดือนเดียวกันปีก่อนที่มี 5,858 ราย คิดเป็นมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 16,648 ล้านบาท ลดลง
42.81% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่มีทุนจดทะเบียน 29,111 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่ สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.
ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร
- สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานว่า การค้าระหว่างจีนกับอีก 4 ประเทศในกลุ่มบริกส์ (BRICS) ซึ่งได้แก่ บราซิล
รัสเซีย, อินเดีย, และแอฟริกาใต้ ยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 7 เดือนแรกของปี 66