นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ขณะนี้สังคมมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และเห็นต่างว่า ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจน และไม่อยากให้สังคมไทย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายตรงข้าม หรือพวกเดียวกัน มีธง โดยอยากให้รับฟังความคิดเห็นว่าข้อดี-ข้อเสีย คืออะไร แล้วหยิบยกมาพูดคุยกัน
ส่วนกรณีที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า โครงการดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่ผ่านสภาฯ ประชาชนจะไม่มีโอกาสได้รับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทนั้น นายเศรษฐา เชื่อมั่นว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน จะได้รับความเห็นชอบจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 320 เสียง และมั่นใจว่าประชาชนจะได้ใช้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทแน่นอน เพียงแต่โครงการที่ต้องล่าช้าออกไปจากกำหนดเดิม เป็นเพราะทีมงานต้องรับความคิดเห็นทั้งหมดก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออก พ.ร.บ.กำหนดเกณฑ์คนรวย ตลอดจนเกณฑ์เรื่องรายได้
"ผมมั่นใจว่า เสียงของผม อย่างพรรคร่วมรัฐบาลมี 320 เสียง ผมว่าเสียงของผมมั่นคง และเราทำงานเป็นทีม เชื่อว่าผ่าน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนจะมีอุบัติเหตุที่จะทำให้โครงการนี้ต้องสะดุดลงหรือไม่นั้น นายเศรษฐา มั่นใจว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับเรื่องเทคนิคหรือกฎหมาย รัฐบาลยืนยันว่าทำถูกต้องทั้งหมด และคณะกรรมการกฤษฎีกา คงจะให้ข้อคิดเห็นในเชิงที่เป็นบวก และรัฐบาลสามารถทำโครงการนี้ได้
นายเศรษฐา กล่าวว่า ขณะนี้มีคำถามว่าตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตหรือไม่ จำเป็นต้องกู้เงินมาทำโครงการนี้หรือไม่ ถ้าบอกว่ามีวิกฤตและความจำเป็น คือ เรามี GDP ติดลบ แบบนั้นคงไม่ต้องทำ เพราะ GDP ยังไม่ติดลบ แต่ 9-10 ปี ที่ผ่านมา GDP แค่ 1.9% ต่อปี ประเทศเราไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ โตกว่าไทย 2 เท่า คู่แข่งของไทย ทั้งประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการเติบโต สมัยก่อนอาจจะอยู่ในโลกของเราคนเดียวได้ แต่ปัจจุบันอยู่ในโลกของการแข่งขัน ถ้าประเทศไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ วันหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมาลงทุนที่ไทย
"รัฐบาลเชื่อว่า เราอยู่ในวิกฤตที่ต้องการการกระตุ้น แม้คนอื่นจะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ กระตุ้นแค่คนจนที่มีรายต่ำจริงๆ ก็พอ หากเถียงกันไปอย่างนี้ ก็ไม่จบ" นายกรัฐมนตรี ระบุ
ทั้งนี้ มีโหวตเตอร์ของพรรคเพื่อไทยบางส่วน รู้สึกผิดหวังที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงิน เนื่องจากมีเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท ทั้งที่เกิดจากวินัยการออม แต่ก็มีรายรับไม่เกิน 7 หมื่นบาทนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า เข้าใจและเห็นใจ แต่ต้องรับฟังทุกภาคส่วน ทั้งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีความชัดเจนว่าไม่ให้แจกคนรวย และมีการสอบถามถึงกำหนดเกณฑ์คนรวย โดยจะต้องกำหนดตัวเลขให้ชัดเมื่อถึงจุดหนึ่ง
โดยคนที่มีรายได้เกิน 7 หมื่นบาท และเงินในบัญชีเกิน 5 แสนบาทนั้น รัฐบาลได้ออกโครงการ E-Refund หากมีการใช้จ่ายจะได้เงินคืนประมาณ 1 หมื่นบาท เทียบเท่ากับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงโครงการระยะยาวในกองทุนส่งเสริมการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมใหม่ เป้าหมาย เช่น รถอีวี ไมโครชิพ จำนวน 1 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มใช้ในเดือนมิ.ย. 67 ที่ต้องทำเร่งด่วน
ส่วนกรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยว่าเงินฝาก 5 แสนบาท จะหมายรวมถึงสลากออมสิน หุ้นกู้ กองทุนรวม และเงินเกษียณด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะนับเฉพาะเงินฝากในบัญชีธนาคารเพียงอย่างเดียว ไม่นับกองทุนรวม เพราะตรวจสอบไม่ได้ ส่วนเงินเกษียณ ถ้าไปอยู่ในบัญชีก็จะนับรวมด้วย ส่วนเงินสดที่เก็บอยู่ที่บ้าน จะไม่นับ โดยจะเริ่มตรวจสอบจากเงินในบัญชีธนาคาร ตั้งแต่เดือนก.ย. 66
ส่วนการที่ประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะมีเงินพอที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ประชาชนเชื่อว่า พรรคเพื่อไทย "หาเงินได้ ใช้เงินเป็น" นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจ ตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่หาเงินได้ และใช้เงินเป็น
"ผมเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคเพื่อไทย สื่อก็บอกว่าหาเงินได้ ใช้เงินเป็น ผมก็มั่นใจว่าผมหาเงินได้ ใช้เงินเป็น"
ส่วนเรื่องที่มาของการออกเป็น พ.ร.บ.เงินกู้ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ว่าฯ ธปท. ได้แนะนำว่าให้กู้เงินดีกว่า ซึ่งปัจจุบัน หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ระดับ 61% ต่อ GDP ขณะที่เพดานหนี้สาธารณะ อยู่ที่ 70% ต่อ GDP ดังนั้น หากการกู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และเมื่อรวมกับโครงการอื่น จะช่วยยกระดับ GDP ขึ้นไปได้ และทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงได้ เพราะแม้หนี้จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้า GDP เพิ่มขึ้นมากกว่า หนี้ก็จะลดลง