กกร.ประเมิน GDP ไทยปี 67 โต 2.8-3.3% เสี่ยงโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ 3% เป็นปีที่ 6

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 6, 2023 13:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กกร.ประเมิน GDP ไทยปี 67 โต 2.8-3.3% เสี่ยงโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ 3% เป็นปีที่ 6
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 67 จะขยายตัวอยู่ในช่วง
2.8-3.3% และมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เนื่องจากเผชิญปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอ
ตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อใน
ระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เน้นเรื่องวินัยการไม่สร้าง
หนี้เกินกำลัง รวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุคโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีความท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่
ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี เพิ่มผลิตภาพของแรงงานเพื่อ
เผชิญกับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และการก้าวสู่ low carbon society

พร้อมคาดส่งออกในปี 67 จะขยายตัวที่ระดับ 2-3% จากปีนี้ที่ติดลบ 1-2% และมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 33 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 5 ล้านคน

ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยหนุน GDP ให้ขยายตัวเพิ่ม ขึ้นอีกราว 1-1.5%

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566-2567 ของ กกร.

                    ปี 66 (ต.ค.66)       ปี 66 (พ.ย.66)       ปี 66 (ธ.ค.66)       ปี 67 (ธ.ค.66)
GDP                  2.5 ถึง 3.0          2.5 ถึง 3.0          2.5 ถึง 3.0          2.8 ถึง 3.3
ส่งออก               -2.0 ถึง -0.5        -2.0 ถึง -1.0        -2.0 ถึง -1.0         2.0 ถึง 3.0
เงินเฟ้อ               1.7 ถึง 2.2          1.7 ถึง 2.2          1.3 ถึง 1.7          1.7 ถึง 2.2

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะเป็นประธาน กกร. กล่าวว่า ในปี 2567 มีหลายปัจจัยแปรผัน ที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเน้นไปที่ การเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling การดูแลต้นทุนราคาพลังงานควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพให้เกิดความสมดุล และการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน รวมถึงดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง

นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางในประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พบว่าหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคาร พาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.68% ณ Q1/2566 เป็น 2.79% ณ Q3/2566 จากทุก product และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ใน stage 2 สูงราว 15% นอกจากนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการมี informal economy ขนาดใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไข ปัญหาหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2566 มีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวน 62,030 ราย รวมมูลหนี้ 2,793.29 ล้านบาท เป็นการ เริ่มต้นที่ดีเพราะจะได้เห็นข้อมูลพื้นฐานของหนี้นอกระบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายโดยภาครัฐ และให้การดูแล ประชาชนกลุ่มเปราะบาง

โดยที่ประชุม กกร. เห็นว่ากลไกถัดไปในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น รวมถึง การปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

ขณะที่เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว สหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วน เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% นอกจากนี้ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถ ยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% การส่งออกยังชะลอตัว ตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง นอกจากนี้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 4.30 หมื่นบาท จากที่เคยประมาณการ 4.55 หมื่นบาท

นายผยง ศรีวนิช ประธานกรรมการสภาธนาคารไทย เปิดเผยถึงการแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งปัจจุบันข้อมูลทั้งหมดยังไม่ได้อยู่ใน ระบบ จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเข้ามาอยู่ในระบบเพื่อทุกภาคส่วนได้มีการพิจารณากลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะ สม ซึ่งในภาวะที่ระบบยังไม่สมบูรณ์ต้องมีกลไกรัฐเข้าไปสนับสนุนและเข้าไปบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งต่อมาต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อใน ระบบเพิ่มมากขึ้น

โดยสมาคมธนาคารไทย มีการหารือกับธปท. ในการผลักดันแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) ซึ่งธปท.ได้พูดถึงเรื่องหนี้นอกระบบ หนี้เสียที่มีอยู่ในปัจจุบัน หนี้ที่ยังไม่ได้เป็นหนี้เสียแต่เป็นหนี้ที่เรื้อรัง รวม ถึงหนี้ใหม่ที่อาจเพิ่มขึ้น และการไม่กระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ได้เกินความจำเป็นและไม่มีความรับผิดชอบ จะเห็นว่าการดำเนินการที่ได้ ประสานร่วมกับ ธปท.และรัฐบาลอยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นระบบและยั่งยืน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ