จัดเต็ม! สงกรานต์ 21 วัน หวังดันติดเทศกาลระดับโลก

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 6, 2024 17:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในการเข้าร่วมงาน International Tourismus Borse (ITB Berlin 2024) มหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในโลก ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 มี.ค. 67 ที่ศูนย์การจัดนิทรรศการ Messe Berlin Exibition Ground กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ย้ำให้ผู้อำนวยการสำนักงานยุโรป ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งโปรโมทและชักชวนนักท่องเที่ยวในภูมิภาคยุโรปเดินทางไปเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย

โดยในปีนี้จะจัดอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1-21 เม.ย. 67 รวม 21 วัน เพื่อประชาสัมพันธ์เทศกาลสงกรานต์ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และผลักดันให้ประเทศไทยติดหนึ่งใน 10 ประเทศสุดยอดเทศกาลของโลก ภายใต้ชื่อ Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567

ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสที่ยูเนสโก้ ประกาศขึ้นทะเบียนให้สงกรานต์ในประเทศไทยเป็นรายการในบัญชีตัวแทนตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ จะมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่กรุงเทพและพื้นที่อัตลักษณ์ห้าภูมิภาคทั่วประเทศไทย

"ในปีนี้จะมีการจัดขบวนรถพาเหรดสงกรานต์จากกลุ่มจังหวัดเป้าหมาย 16 จังหวัด 11 ซอฟพาวเวอร์ การจัดกิจกรรมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม โขน และรำมโนราห์ การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งกิจกรรมสงกรานต์ 5 ภาค เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ประเพณีสงกรานต์ไทยที่โดดเด่นในแต่ละภูมิภาค" น.ส.สุดาวรรณ กล่าว

น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า เพื่อตอบโจทย์ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ภายใต้วิสัยทัศน์ประเทศไทย IGNITE THAILAND ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของโลก (Tourism Hub) และสอดรับกับการสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของโลก (Aviation Hub)

โดยในวันที่ 15 มี.ค. 67 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการหรือเวิร์คช็อปหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนทั้งสิ้น 60 หน่วยงานเพื่อตอบโจทย์ 4 มาตรการ ที่ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยได้อย่างก้าวกระโดด โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมด้วย

สำหรับ 4 มาตรการที่จะตั้งเป็นโจทย์ให้หารือกัน ประกอบด้วย

1. เมืองหลักและเมืองรองต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว เฟ้นหา Soft Power เพื่อหาเสน่ห์ของประเทศไทย โดยต้องหาจุดขายที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด และความต้องการของนักท่องเที่ยว ทำให้การเดินทางเข้าถึงที่สะดวกและปลอดภัย มีการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งต้องเตรียมพร้อมระบบด้านสาธารณูปโภคและการบริหารจัดการที่ดี

2. การสนับสนุนให้มีเทศกาลระดับโลก ประเทศไทยจะไม่หลับใหล จะมีงานเทศกาล งานคอนเสิร์ต งานศิลปะ งานแสดงสินค้าในประเทศไทยตลอดทั้งปี และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ เป็นเม็ดเงินลงทุนหลักแสนล้านบาท

3. ผลักดันการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะต้องมีการยกเว้นการตรวจลงตราหรือ VISA FREE ให้นักท่องเที่ยว เช่น ที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการแล้วกับนักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน เพื่อเปิดประตูรอรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเฉพาะประชากรจากชาติดังกล่าวรวมกันมีมากถึง 2,900 ล้านคน

โดยแนวทางการขับเคลื่อนต้องบริหารการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน และการคมนาคมมีมาตรฐาน และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางเข้า-ออกประเทศ มีการบริหารจัดการกระแสการเดินทางที่ไม่ทำให้เกิดการกระจุกตัว ไม่ส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อม และการนำเสนอและบริหารภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยที่ปลอดภัย มีคุณค่าและยั่งยืน

4. การแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว ปรับเวลาเปิดสถานบริการ ปรับเปลี่ยนเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สนับสนุนการเฉลิมฉลองในสนามกีฬา ซึ่งจะต้องรับฟังความเห็นจากนักท่องเที่ยวและผู้เกี่ยวข้อง ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันการแก้ไขปัญหาพร้อมบังคับใช้กฎหมายการหลอกหลวง และมีการช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวด้วย

"ทั้ง 4 แนวทางดังกล่าว จะต้องมีการติดตามความเห็นของนักท่องเที่ยวต่อประสบการณ์ท่องเที่ยวในไทยผ่านช่องทางต่างๆ ที่สำคัญต้องเตรียมความพร้อมของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยเมื่อได้เวิร์คชอปและจัดทำแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะประกาศแผนเดินหน้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก ภายในเดือนมี.ค. นี้" น.ส.สุดาวรรณ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ