
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ชี้แนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำหอมไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง แนะผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบจากพืชพรรณท้องถิ่น ยกระดับมาตรฐานการผลิต และทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และส่งเสริมการส่งออกไปตลาดโลก
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. เปิดเผยว่า น้ำหอมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประสาทสัมผัสด้านกลิ่น ซึ่งมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่ออารมณ์ ความทรงจำ และพฤติกรรมของมนุษย์ กลิ่นหอมสามารถกระตุ้นความรู้สึกโรแมนติก สร้างความมั่นใจ หรือแม้แต่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้

โดยน้ำหอมไม่เพียงแต่เป็นเครื่องประดับบนร่างกาย แต่ยังเป็นภาษาที่ไร้คำพูดที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ และบุคลิกภาพของผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษ เช่น วันวาเลนไทน์ ที่น้ำหอมมักถูกเลือกเป็นของขวัญแทนความรักและความรู้สึกดี ๆ
ปัจจุบันตลาดน้ำหอมทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ในปี 2567 ตลาดน้ำหอมทั่วโลก มีมูลค่า 67,026.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.25% ต่อปี จนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 79,157.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2571 โดยมีปัจจัยหนุนการเติบโต อาทิ อิทธิพลของกระแสความงาม การบริโภคสินค้าหรูหรา และความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า ในปี 2567 ตลาดน้ำหอมในประเทศไทย มีมูลค่า 391 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโต 5.86% ต่อปี จนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 491 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2571 โดยประเทศไทยมีแหล่งขุมทรัพย์แห่งกลิ่นหอม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด และมีศักยภาพในการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบน้ำหอม อาทิ
- ดอกกระดังงา : มีกลิ่นหอมหวานและอบอุ่น นิยมนำไปใช้ในน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกน่าดึงดูดใจสไตล์เซ็กซี่
- ดอกโมก : มีกลิ่นหอมบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกสดชื่นและสงบ
- ดอกลำเจียก : มีกลิ่นหอมเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้ความรู้สึกอ่อนหวานและนุ่มนวล
- ดอกจำปี-ดอกจำปา : มีกลิ่นหอมเข้มข้น ให้ความรู้สึกหรูหรา
- กฤษณา (Oud) เป็นวัตถุดิบหายาก และมีมูลค่าสูง มีกลิ่นหอมที่ลุ่มลึกและติดทนนาน นิยมใช้ในน้ำหอมระดับไฮเอนด์
พร้อมระบุว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำหอมไทย ควรเริ่มจากการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ โดยอาศัยวัตถุดิบจากพืชพรรณท้องถิ่นเป็นจุดขายสำคัญ นอกจากนี้ ควรสนับสนุนให้มีการปลูกพืชหอมแบบยั่งยืน เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และเพียงพอต่อความต้องการของตลาด และพัฒนากระบวนการสกัดน้ำหอมให้ได้มาตรฐานสากล อาทิ ISO 9235 เป็นมาตรฐานรับรองคุณภาพสำหรับวัตถุดิบ และสารสกัดจากธรรมชาติที่มีกลิ่นหอม และการรับรองจากสมาคมน้ำหอมนานาชาติ (International Fragrance Association: IFRA) เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของน้ำหอม และส่วนผสมของน้ำหอม
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า การพัฒนากระบวนการสกัดให้ได้มาตรฐานสากล จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบไทย สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และส่งเสริมการส่งออกได้ดีขึ้น อีกทั้งการร่วมมือกับนักปรุงน้ำหอม หรือบริษัทเครื่องหอมระดับโลก เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ไทยก้าวเข้าสู่ตลาดสากลได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ทันสมัย เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย การขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และการจัดเวิร์กช็อปน้ำหอมเพื่อดึงดูดลูกค้า จะช่วยสร้างการรับรู้และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจน้ำหอมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายพูนพงษ์ฯ กล่าวว่า อุตสาหกรรมน้ำหอมไทยมีศักยภาพสูงในการเติบโตในตลาดโลก ภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกันในการพัฒนาวัตถุดิบ การยกระดับมาตรฐานการผลิต และการทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการควรเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ ใช้กลิ่นหอมจากพืชพรรณไทยเป็นจุดขาย และพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมน้ำหอมไทย สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนเกษตรกรที่เพาะปลูกพืชพรรณหอม และผู้ผลิตวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการเผยแพร่วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
"การพัฒนาน้ำหอมไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลก จึงไม่เพียงช่วยสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ไทยให้มีความโดดเด่น และเป็นที่จดจำในอุตสาหกรรมความงามและไลฟ์สไตล์ระดับโลก" ผู้อำนวยการ สนค. ระบุ