นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทแสดงความเห็นว่า แผนการของนายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐที่ต้องการกอบกู้วิกฤตแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลสหรัฐให้การสนับสนุน (GSE) และมีหน้าที่จัดหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ซื้อบ้าน จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน มากกว่าจะช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล
"การดำเนินการดังกล่าวของกระทรวงการคลังกำลังเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจการเงิน และการใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าอุ้มกิจการแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ทำให้เกิดข้อกังขาในวงกว้าง รัฐบาลและสภาคองเกรสไม่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความหวั่นวิตกให้กับนักลงทุนและประชาชนผู้เสียภาษี" แอ็กเซล เมิร์ก นักวิเคราะห์จากบริษัทเมิร์ก อินเวสท์เมนท์ แอลแอลซี ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ราคาหุ้นแฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่นิตยสารบาร์รอนรายงานว่า หากแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครั้งใหม่ ก็อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐเพิ่มทุนด้วยตัวเอง ด้วยนำเงินของผู้เสียภาษีมาอัดฉีดให้กับบริษัททั้ง 2
บาร์รอนระบุว่า กระทรวงการคลังสหรัฐอาจต้องซื้อหุ้นทั้งหมดของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ซึ่งดำเนินการดังกล่าวอาจเป็นการขจัดผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัท 2 แห่งและรวบกิจการทั้งหมดมาเป็นของรัฐ และอาจทำให้หนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
แฟนนี เม จะต้องชำระคืนพันธบัตรมูลค่าราว 1.20 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 30 ก.ย. ขณะที่เฟรดดี แมค จะต้องชำระคืนพันธบัตรมูลค่าราว 1.03 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งภาวะตึงตัวด้านการเงินของบริษัททั้งสองแห่งเป็นเหตุให้นายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐร้องขออำนาจจากสภาคองเกรสให้กระทรวงการคลังสามารถเข้าซื้อหุ้นในบริษัททั้งสอง สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์:
[email protected]