หลี ยัง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงคลังจีนเปิดเผยว่า จีนจะพิจารณาใช้นโยบายทางเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว "ข้อจำกัดของสถาบันการเงินและความไร้เสถียรภาพด้านโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศจีน รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและความวิตกกังวลต่อกระแสความตื่นตระหนกจากภายนอกที่เป็นผลจากวิกฤตการเงินของสหรัฐ ทำให้จีนเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวง" หลี กล่าวในแถลงการณ์ในการร่วมประชุมประจำปีกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก "เพื่อเป็นการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ จีนจะพิจารณาใช้นโยบายทางเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ" เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของจีนได้เบนเป้าจากการใช้นโยบายควบคุมเงินเฟ้อมาเป็นการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจหลังจากที่ราคาอาหารเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่การส่งออกที่อ่อนแอได้เป็นภัยคุกคามต่อผลกำไรของบริษัท รวมถึงตลาดแรงงาน และเสถียรภาพทางสังคมในประเทศที่ได้ชื่อว่ามีประชากรมากที่สุดในโลก "จีนจะคอยสอดส่องดูความเคลื่อนไหวและใช้นโยบายที่มีความยืดหยุ่นและมองการณ์ไกลเพื่อบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจมหภาค" หลีกล่าว "จีนจะใช้มาตรการสร้างเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจรวมถึงตลาดเงินและตลาดทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว" "ความเคลื่อนไหวด้านการขยายตัวของจีนมีส่วนเกี่ยวโยงกับดุลบัญชีการค้าระหว่างความต้องการภายในและต่างประเทศที่จะกระตุ้นความสามารถในการต้านทานความเสี่ยงทางเศรษฐกิจได้" หลีกล่าว "การขยายตัวที่มั่นคง ยั่งยืน และรวดเร็วในประเทศที่มีประชากร 1.3 ล้านคนสะท้อนให้เห็นว่าจีนยังมีปัจจัยหนุนที่ช่วยสร้างความมีเสถียรภาพและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้กับโลกได้มากที่สุด" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 10.1% ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้จากระดับในปีที่ผ่านมา แต่เป็นตัวเลขที่ลดลงเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันเนื่องจากการส่งออกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ระบบการเงินในประเทศยังปลอดภัยและแข็งแกร่ง