นักวิเคราะห์ในย่านวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกอย่างน้อย 0.50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้ หลังจากสหรัฐได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของผู้บริโภคที่ปรับตัวขึ้น และบริษัทหลายแห่งภายในประเทศล้มละลาย โดยเฟดจะเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลา 2 วันในคืนนี้ตามเวลาในประเทศไทย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคืนนี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ในเดือนพ.ย. เพื่อดูว่าเฟดจะประเมินภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโดยรวมอย่างไรบ้าง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า เฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการลดดอกเบี้ยในระยะต่อไปหรือไม่
กระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้น 889.35 จุด หรือ 10.88% ปิดที่ 9,065.12 จุดเมื่อคืนนี้
ก่อนหน้านี้ เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดกล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถจับจ่ายใช้สอยได้คล่องตัวขึ้นและเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้ นอกจากนี้ เฟดเชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยควบคู่ไปกับมาตรการด้านอื่นๆจะช่วยฟื้นฟูระบบการเงินของสหรัฐให้กลับมาเคลื่อนไหวอย่างปกติได้อีกครั้ง
สจ๊วต ฮอฟฟ์แมน หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท PNC Financial Services Group กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีกอย่างแน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจอ่อนแอลงมาก และคาดว่าเมื่อเฟดลดอัตราดอกเบี้ย fed fund rate ลงอีกอย่างน้อย 0.50% ก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลดลงด้วย โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี หรือ prime rate ยืนอยู่ที่ 4.5% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยประเภทนี้เป็นดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อซื้อบ้านและดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบัตรเครดิต"
ภาวะเศรษฐกิจและตัวเลขจ้างงานในสหรัฐที่หดตัวลงอย่างรุนแรงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลและเฟดประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วหลายครั้งในปีนี้ รวมถึงมาตรการฟื้นฟูระบบการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) ประจำเดือนก.ย. ร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 5 ปี ที่ 159,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นสถิติการรายงานตัวเลขจ้างงานที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน ส่วนอัตราว่างงานอยู่ในระดับ 6.1%
เมื่อคืนนี้ สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชน รายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.ของสหรัฐร่วงลงแตะระดับ 38.0 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 61.4 จุด และร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนตัวอยู่ที่ 52.0 จุด
ผลสำรวจของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด บ่งชี้ว่า สัดส่วนของผู้บริโภคที่มองว่าภาวะทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจอยู่ในขั้น "เลวร้าย" เพิ่มขึ้นแตะระดับ 38.3% จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 33.4% และสัดส่วนของผู้บริโภคที่มองว่าภาวะทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจอยู่ในขั้น "ดี" ปรับตัวลงแตะระดับ 9.2% จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 12.8% สำนักข่าวเอพีรายงาน