นายเจียง ติ้งซี รองประธานคณะกรรมาธิการกำกับดูแลด้านการธนาคารของจีนเปิดเผยในที่ประชุม Financial Forum ที่กรุงปักกิ่งวันนี้ว่า ธนาคารพาณิชย์ของจีนกำลังเผชิญปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้นและผลกำไรลดลง หลังจากธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
"ธนาคารพาณิชย์ของจีนกำลังเสี่ยงที่จะเผชิญกับการขาดทุนอย่างหนักเนื่องจากวิกฤตการณ์การเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะจบสิ้นลงในเร็วๆนี้ แม้รัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปเมื่อเร็วๆนี้ก็ตาม" นายติ้งซีกล่าวธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ หลังจากเศรษฐกิจขยายตัวเพียง 9% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นสถิติการขยายตัวที่ช้าที่สุดในรอบ 5 ปี โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ลงอย่างละ 0.27% ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะเวลา 1 ปี ลดลงเหลือ 3.60% จากเดิมที่ 3.87% และดอกเบี้ยเงินกู้จะลดลงแตะ 6.66% จาก 6.93%
ท้อดด์ ดูนิแวนท์ นักวิเคราะห์จากธนาคาร HSBC กล่าวว่า "ธนาคารพาณิชย์ของจีนกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน และได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตการณ์การเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก "
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างที่อยู่อาศัยต้นทุนต่ำ, ถนน, ทางรถไฟ, สนามบิน และสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานในเมือง ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของตัวเลข GDP จีนปีที่แล้วฉบับนี้ จะมีผลบังคับใช้จนถึงปีพ.ศ.2553
นิค ชามี นักวิเคราะห์จาก RBC Capital กล่าวว่า "หลังจากรัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่นาน ตลาดหุ้นในเอเชียดีดตัวขึ้นขานรับถ้วนหน้า แต่กระแสตอบรับข่าวดังกล่าวเริ่มแผ่วลงเมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า จีนยังพยายามไม่มากพอที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมาได้" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน