(เพิ่มเติม) ธปท.ระบุแนวโน้มศก.แย่กว่าคาดเป็นประเด็นทบทวนประมาณการ GDP ปี 51-52

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 24, 2008 14:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า การทบทวนประมาณอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 51-52 ที่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้นั้น จะมีการพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจที่แย่กว่าที่คาดไว้ แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะต้องประชุมกันก่อนกำหนดที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ธ.ค.51 แต่ก็ยอมรับว่ามีช่องทางที่จะใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจได้

"วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อปี 40 แต่นโยบายการเงินไม่ค้อยมีผลเท่าไรในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไร แต่อย่าหวังว่า จะทำให้เกิดประสิทธิภาพ...นโยบายการเงิน ก็ยังมี room แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบประชุมนอกรอบก่อนวันที่ 3 ธันวาคม เพราะจะเป็นการส่งสัญญาชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย" นางอัจนา กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ"ทิศทางเศรษฐกิจการเงินไทย"

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านโยบายการเงินการคลังของรัฐจะออกมาดี แต่ปัจจัยสำคัญยังต้องขึ้นกับความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นตัวแปรหลัก ซึ่งพิจารณาได้จากกรณีของประเทศญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาการเมือง เพื่อฟื้นความมั่นใจของประชาชนที่ขณะนี้เกิดความรู้สึกหดหู่จากสถานการณ์การเมือง รวมทั้งหวั่นเกรงภาวะเศรษฐกิจถดถอยและรายได้ในอนาคต

ขณะเดียวกันรัฐก็ต้องเข้าไปดูแลภาคธุรกิจระดับจุลภาค หรือ เอสเอ็มอี ที่มีปัญหาเรื่องสินเชื่อหรือสภาพคล่อง โดยเสนอให้ธนาคารพาณิชยฺ์เข้ามารับความเสี่ยงคนละครึ่งกับภาครัฐ เพราะธนาคารพาณิชยฺ์จะรู้จักลูกค้าดีกว่า และให้แยกบัญชีเอสเอ็มอีออกมาต่างหาก ซึ่งเขื่อว่าสภาพคล่องในไทยยังมีอยู่

นางอัจนา กล่าวยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจไทยได้รับปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก โดยเฉพาะการส่งออก ซึ่งไทยส่งออกประเทศในกลุ่ม G3 (สหรัฐ-ยุโรป-ญี่ปุ่น)มาก และเชื่อว่าประเทศไทยยังอยู่ในภาวะยากลำบากนานพอสมควรและปัญหาเงินฝืดจะลงลึก อย่างไรก็ตาม หากประเมินว่าอัตราเศรษฐกิจเติบโต 2.5% ก็คาดว่าอาจจะมีอัตราว่างงานประมาณ 9 แสนคน ไม่สูงเหมือนปี 40 ทั้งนี้

ก่อนหน้านี้ ธปท.คาดการณ์ว่า GDP ในปี 52 จะขยายตัว 3.8-5.0% ส่วน GDP ในปี 51 จะขยายตัว 4.3-5.0%

ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ขณะนี้อ่อนค่าลง แต่ในอนาคตเงินบาทจะแข็งค่า ซึ่งหากเกิดภาวะผันผวน ธปท.ก็พร้อมที่จะเข้าไปดูแล

ขณะเดียวกันความหวาดกลัวผลกระทบจากการที่กองทุนเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ(FIF)ที่ไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลี ซึ่งเป็นกองทุนปิดนั้น นางอัจนา กล่าวว่า จากนี้ไปจนถึงเม.ย.52 กองทุนประเภทดังกล่าวจะครบกำหนดไถ่ถอนและเงินจะไหลกลับเข้าประเทศราว 5-7 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่คงจะไม่มีผลต่อค่าเงินบาท เพราะเป็นการทยอยไหลกลับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ