โนมูระ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่สุดของญี่ปุ่น, ธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ เอสเอ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่อันดับ 3 ของยุโรป และธนาคารโซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) ซึ่งธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของฝรั่งเศส ได้ออกมาเปิดเผยมูลค่าความเสียหายจากการเข้าไปลงทุนในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของนายเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์ อดีตประธานกรรมการตลาดหุ้นนาสแดค
มาดอฟฟ์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในข้อหาจัดตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในรูปแบบของ แชร์ลูกโซ่ (ponzi scheme) ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับลูกค้าที่เข้าลงทุนในกองทุนดังกล่าวเป็นวงเงินถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และถือเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ หลังจากที่ได้เกิดคดีใหญ่สะเทือนวงการธุรกิจโลกมาแล้วอย่าง "คดีเอ็นรอน" ในปีพ.ศ.2544 และส่งผลให้หลายฝ่ายกังขาในการดำเนินงานของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC)
ทั้งนี้ โนมูระเปิดเผยว่า บริษัทได้รับความเสียหายจากการเข้าไปลงทุนในกองทุนของมาดอฟฟ์เป็นวงเงิน 302 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ ได้รับความเสียหายเป็นวงเงินจำนวนมากถึง 468 ล้านดอลลาร์ และธนาคารซอคเจนเสียหายจำนวน 13.3 ล้านดอลลาร์
ส่วนบริษัทรายอื่นๆที่คาดว่าจะได้รับความเสียหายจากการเข้าไปลงทุนในแชร์ลูกโซ่ของมาดอฟฟ์ คือบริษัท แฟร์ฟิลด์ กรีนวิช กรุ๊ป ของนายวอลเตอร์ โนเวล ซึ่งทุ่มเงินลงทุนในบริษัทของมาดอฟฟ์สูงถึง 7.3 พันล้านดอลลาร์ และบริษัท คินเกท เมเนจเมนท์ ที่สูญเงินลงทุนไปถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าวบลุมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข้อมูลของบุคคลที่มีส่วนในการทำคดีของมาดอฟฟ์ว่า ปัจจุบันมาดอฟฟ์ยังคงมีตำแหน่งเป็นสมาชิกในคณะกรรมการสรรหาของบริษัท แนสแดค โอเอ็มเอ็กซ์ กรุ๊ป อิงค์ แต่คณะกรรมการ SEC ไม่เคยยื่นมือเข้าตรวจสอบกองทุนแชร์ลูกโซ่ของมาดอฟฟ์ แม้มาดอฟฟ์ได้ยื่นรายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนดังกล่าวให้คณะกรรมการ SEC ตรวจสอบเมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ตาม ซึ่งตามปกติแล้ว SEC จะตรวจสอบคณะที่ปรึกษาอย่างน้อยทุกๆ 5 ปีและจะต้องตรวจสอบบริษัทที่เข้าจดทะเบียนใหม่ในช่วงปีแรก
ข่าวการฉ้อโกงของมาดอฟฟ์สร้างความวิตกกังวลไปทั่วตลาดวอลล์สตรีท ส่งผลให้ผู้พิพากษาศาลกรุงนิวยอร์กออกมาลดกระแสความกังวลดังกล่าวด้วยการออกคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินทั้งหมดของมาดอฟฟ์ อย่างไรก็ตาม ศาลอนุญาตให้มาดอฟฟ์ได้รับการประกันตัวออกไปโดยใช้สินทรัพย์มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์
ทนายความของมาดอฟฟ์เปิดเผยว่า มาดอฟฟ์ได้สารภาพกับบุตรชายทั้งสองของเขาว่า ธุรกิจเฮดจ์ฟันด์ที่ตั้งขึ้นในนามของเขานั้นเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายให้กับลูกค้าเป็นวงเงินสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่อมาบุตรชายของมาดอฟฟ์ได้นำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งต่อสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) จึงนำไปสู่การจับกุมตัวมาดอฟฟ์ในช่วงเช้าวานนี้ พร้อมกับยืนยันว่า มาร์ค และ แอนดรูว์ บุตรชายทั้งสองของมาดอฟฟ์ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการฉ้อโกงครั้งนี้แต่อย่างใด
มาดอฟฟ์ได้รับการประกันตัวออกมาโดยใช้สินทรัพย์มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง มาดอฟฟ์ก็จะถูกจำคุก 20 ปี และถูกเปรียบเทียบปรับ 5 ล้านดอลลาร์
รายงานระบุว่า ณ วันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทของมาดอฟฟ์มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการเป็นวงเงินสูงถึง 1.71 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยลูกค้าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ส่วนที่เหลือเป็นธนาคารพาณิชย์และนักลงทุนระดับมหาเศรษฐี ทั้งนี้ มาดอฟฟ์ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักการเงินที่มีชื่อเสียงและมีฐานลูกค้าจำนวนมาก โดยบริษัทของเขามีลูกค้าเดินเข้าออกจำนวนมากเพื่อขอรับคำแนะนำด้านการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง
ทั้งนี้ มาดอฟฟ์มีกำหนดจะเดินทางมาให้การต่อศาลกลางเมืองแมนฮัทตันในวันที่ 19 ธ.ค.ช่วงบ่าย