นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน พ.ย.อยู่ที่ 71.8 ลดลงจากเดือนต.ค.ที่ 75.5 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเกือบเข้าใกล้จุดต่ำสุด ที่ระดับ 71.4 ในเดือน พ.ค.51
สำหรับสาเหตุที่ดัชนีปรับลดลงได้รับผลกระทบจากยอดคำสั่งซื้อ และยอดขาย ที่ชะลอตัวลงมากทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ สาเหตุจากปัญหาทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกจากต้นทุนประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการในเดือนนี้ปรับลดลงไม่มากนัก
"เป็นการลดลงเข้าใกล้ระดับต่ำสุดในเดือน พ.ค.51 ที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 71.4" นายสันติ ระบุสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นที่จำแนกตามขนาดของกิจการ พบว่า อุตสาหกรรมขนาดกลาง และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง มีเพียงอุตสาหกรรขนาดย่อมที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ด้วยปัจจัยบวกด้านต้นทุนที่ปรับตัวลดลงมาก ประกอบกับยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยทั้งนี้ เนื่องจากปัจจัยบวกภายในประเทศ เช่น ราคาน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนลดลง ตลอดจนใกล้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ช่วยกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงนี้ ซึ่งถ้าหากสถานการณ์ทางเมืองคลี่คลาย คาดว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคน่าปรับตัวดีขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ผลประกอบการในเดือนนี้ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศชะลอการสั่งซื้อสินค้าลงอย่างมาก โดยเฉพาะลูกค้าจากตลาดต่างประเทศ บวกกับการยึดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรฯ ในช่วงปลายเดือนพ.ย.51ส่งผลให้การส่งออกสินค้าต้องล่าช้าออกไป ซึ่งผู้ประกอบการมองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างมากในระยะต่อไป
นายสันติ กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เสนอแนะให้ภาครัฐเร่งยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น และหันมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศ มีนโยบายสนับสนุนให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับภาคอุตสาหกรรม
รวมทั้งสนับสนุนมาตรการทางภาษี เช่น การลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบหรือการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล อีกทั้งหาแหล่งตลาดใหม่ให้กับภาคอุตสาหกรรมส่งออก เพื่อทดแทนตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐฯ และดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนอย่าให้มีความผันผวน โดยคงระดับไว้ที่ 33-35 บาท/ดอลลาร์ เพื่อช่วยอุตสาหกรรมส่งออก