วงการธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง สะท้อนมุมมองที่มีต่อ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ที่รัฐบาลชุดใหม่ประกาศจะหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นในรอบใหม่ เป็นกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไป สร้างกระแสกีดกันทางการค้าและการเข้ามาในตลาดของธุรกิจรายใหม่ ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงสินค้าหลายตัวที่ถูกจำกัดช่องทางจำหน่าย
แหล่งข่าว กล่าวว่า กฎหมายค้าปลีกค้าส่งฉบับนี้ยกร่างโดยกระทรวงพาณิชย์ สมัยที่นายเกริกไกร จีระแพทย์ เป็นเจ้ากระทรวง ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับเก่าที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เคยตีตกมาแล้ว ซึ่งความจริงแล้วกฎหมายฉบับบนี้มีหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะสาเหตุแรก คือการให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐสูงเกินไป
"มีหลายคนไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ เพราะมองว่าให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐสูงเกินไป บางคนบอกว่าสูงกว่าอำนาจ ครม.ด้วยซ้ำ เช่น การที่จะให้ใครเปิดหรือปิด อำนาจอยู่คณะกรรมการกำกับธุรกิจชุดนี้เป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พ.ร.บ.นี้ตั้งขึ้นมาก็เพื่อที่จะกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้"แหล่งข่าว กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"แหล่งข่าวรายนี้ ให้ความเห็นว่า ข้อดีของกฎหมายฉบับนี้แทบจะไม่มีเลย มีแต่ข้อเสียคือนอกจากจะให้อำนาจกับเจ้าหนห้าที่รัฐสูงเกินไปแล้ว ยังสร้างกระแสที่กีดกันการค้าเป็นการควบคุมการค้าไม่ให้ธุรกิจขยายตัว โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก เสมือนเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ใครเปิดสาขาไปแล้วก็ได้เปรียบ เพราะว่ามีสาขาอยู่แล้ว ส่วนคนที่จะเข้ามาในตลาดต่อไปก็ลำบาก
นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี สินค้า OTOP ซึ่งหากต่อไปคิดจะลงทุนขยายโรงงานก็ไม่กล้า เพราะตลาดจะถูกจำกัดช่องทางจำหน่ายไปโดยปริยาย
"เหมือนกับเดิมค้าปลีกขยายตัวดี ผมก็ผลิตสินค้าแล้วเอาออกมาขาย มีตลาดรองรับ แต่ว่าต่อไปเมื่อค้าปลีกถูกจำกัดการขยายสาขา เรื่องอะไรผมจะไปลงทุนตั้งโรงงานหลายร้อยล้าน แต่ไม่มีตลาดให้ผมขายของ ซึ่งในความเป็นจริง กลุ่มซัพพลายเออร์ เอสเอ็มอี พวกนี้หยุดลงทุนมานานแล้ว จากหลายๆ สาเหตุ รวมถึงพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ ที่มองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการดำเนินธุรกิจของเขา"แหล่งข่าว กล่าวอย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดผลกระทบในวงกว้าง แต่เชื่อว่าทางการก็คงจะผลักดันกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจ แต่ไม่ได้มองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศชาติ
"แต่สิ่งที่จะเป็นผลกระทบตามมาต่อผู้บริโภค คือ เมื่อการค้าถูกผูกขาด ผู้บริโภคก็ต้องซื้อสินค้าแพงขึ้น อาจจะไม่ได้รับความสะดวก เพราะจังหวัดที่อยู่ห่างไกล ยังไม่เจริญ ค้าปลีกเข้าไปไม่ถึง ก็จำเป็นต้องซื้อสินค้าคุณภาพไม่ดี ขณะที่ร้านโชวห่วยเองก็จะต้องอยู่ในอำนาจของซัพพลายเออร์ ถูกซัพพลายเออร์บีบให้ซื้อสินค้าแต่ละครั้งในปริมาณมาก หมดอำนาจต่อรอง แต่ถ้ามีค้าปลีก หรือห้าง ร้านโชวห่วยสามารถมีทางเลือก สามารถเปรียบเทียบราคาได้ เจ้าไหนถูกกว่าก็เลือกซื้อจากเจ้านั้น แต่ถ้ามี พ.ร.บ.บังคับใช้ก็ถูกสกัดไม่ให้ซื้อสินค้าจากที่อื่น คล้ายๆ กับผู้บริโภค"แหล่งข่าว กล่าวทิ้งท้ายขณะที่ในมุมของกระทรวงพาณิชย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวไว้ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งว่าจะเร่งผลักดันให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งภายในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องการสร้างความเป็นธรรมให้กับการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
โดยยืนยันว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการลงทุนของค้าปลีกรายใหญ่ และจะนำร่างกฎหมายเดิมที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการไว้มาปรับปรุงโดยจะไม่ทำให้เกิดการกีดกันทางการค้าตามที่มีการวิตกกังวลกัน
ระหว่างที่ยังไม่ได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ก็จะพิจารณามาตรการระยะสั้นเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้แก่ร้านค้าปลีกรายย่อย(โชว์ห่วย)ที่ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของร้านค้าปลีกรายใหญ่ก่อน โดยอาจจะเป็นในรูปของการใช้กฎหมายที่กระทรวงพาณิชย์มีอยู่ทั้ง พ.ร.บ.และกฎกระทรวง, การออกมาตรการควบคุมการดำเนินธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เช่น มาตรการคุมพื้นที่ มาตรการคุมราคา และมาตรการคุมระยะเวลาเปิด-ปิด เป็นต้น
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับความพยายามของกระทรวงพาณิชย์ช่วงก่อนหน้านี้ที่จะผลักดันกฎกระทรวง 3 ฉบับ เพื่อออกมาบังคับใช้ไปพลางก่อน คือ การออกกฎกระทรวงภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ที่จะกำหนดให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเป็นบริการควบคุม ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องแจ้งแผนการขยายสาขาล่วงหน้า การดูแลบัญชี และแผนการจำหน่ายและการกำหนดราคาสินค้าต่อกรมการค้าภายใน
การออกกฎกระทรวงภายใต้ พ.ร.บ.คลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น เพื่อดูแลคลังสินค้าของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จากเดิมกฎหมายนี้จะดูแลเฉพาะคลังสินค้าที่ให้บริการโดยภาคเอกชนเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้มีความจำเป็นต้องสร้างคลัง ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าจำนวนมาก
และการกฎกระทรวงภายใต้ พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ เพื่อกำหนดให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งต้องจดทะเบียนพาณิชย์ โดยจะกำหนดให้รายใหญ่ต้องขึ้นทะเบียนพาณิชย์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเหมือนกับรายเล็ก จากเดิมที่เคยยกเว้นให้กับธุรกิจรายใหญ่ประเภทธุรกิจมหาชนไม่ต้องจด เพื่อให้เกิดความสมดุลในการประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็ก
เส้นทางของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมาถูกคณะรัฐมนตรีตีกลับมาแล้ว 3 รอบ โดยนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นให้เหตุผลว่า เนื้อหาของกฎหมายยังไม่รัดกุม ขาดความชัดเจนในการปฎิบัติ และไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่ได้มีการแก้ไขเนื้อหาที่เอื้อประโยชน์ให้กับซัพพลายเออร์ โดยโชห่วยไม่ได้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้เท่าที่ควร
สำหรับ พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่งฯ ฉบับล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ปรับให้มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์บางประการ โดยลดอำนาจคณะกรรมการระดับท้องถิ่นในการควบคุม ยกเลิกคณะกรรมการจังหวัดในการอนุญาตให้เปิดสาขาหรือออกกฎเกณฑ์แต่ละท้องถิ่น และโยนอำนาจมาไว้ที่คณะกรรมการกลาง
รวมทั้งเปลี่ยนนิยามค้าปลีกค้าส่งที่ไม่ครอบคลุมมถึงร้านมินิมาร์ทในปั๊มน้ำมัน, ร้านขายยา, ร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ส่วนกำหนดเวลาเปิด-ปิดหรือจำนวนวันที่เปิดให้บริการนั้นจะมีการออกเป็นกฎหมายลูกตามมาหลังจาก พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่งมีผลบังคับใช้