สำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากรในเดือน ธ.ค.51 พบว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 52.45 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 37.98 ล้านคนและเป็นผู้ว่างงาน 5.4 แสนคน
ขณะที่ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 37.98 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.5 แสนคน หรือเพิ่มขึ้น 1.4% ส่วนภาวะการว่างงานมีจำนวน 5.4 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.45% และแนวโน้มการว่างงานที่จะเพิ่มมากขึ้นมีถึง 2.2 แสนคน หรือเพิ่มขึ้น 0.6% แต่หากเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 2 หมื่นคน(เพิ่มขึ้นจาก 5.2 แสนคนเป็น 5.4 แสนคน) ซึ่งจะเห็นได้ว่า ภาวะการว่างงานมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนจำนวนผู้ว่างงานมีทั้งสิ้น 5.4 แสนคนนั้น ภาคใต้มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดถึง 2.8% รองลงมาเป็นกรุงเทพฯ 1.6% ภาคกลาง 1.5% ภาคเหนือ 1.1% ส่วนภาคอีสานมีอัตราการว่างงานน้อยที่สุดคือ 0.9%
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานในช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่าอัตราการว่างงานมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นถึง 0.6% อัตราการเพิ่มขึ้นของแรงงานที่ว่างงาน พบว่า ภาคใต้เพิ่มขึ้น 1.7% กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 0.9% ภาคกลางเพิ่มขึ้น 0.4% ภาคเหนือและภาคอีสานเพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 0.3%
อัตราการว่างงานในแต่ละกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มเยาวชน(อายุ 15-24)มีจำนวนถึง 2.6 แสนคน หรือคิดเป็น 4.8% และกลุ่มวัยทำงาน(อายุ 25 ปีขึ้นไป)มีจำนวน 2.8 แสนคน หรือคิดเป็น 0.8% ส่วนของการว่างงานในกลุ่มวัยเยาวชนนั้นจะมีมากกว่ากลุ่มอื่นเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ ทำให้โอกาสการบรรจุเข้าทำงานมีน้อยกว่าและยังขาดประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีนักศึกษาจบใหม่ที่ตกงานเป็นจำนวนสูงถึง 2 แสนคน
ขณะที่ผู้ว่างงานตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า ในจำนวนผู้ว่างงาน 5.4 แสนคน เป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.5 แสนคน และผู้ที่เคยทำงานมาก่อนเป็นผู้ว่างงานจากภาคเกษตรกรรม 3 แสนคน ประกอบด้วย ภาคการผลิต 1.4 แสนคน ภาคการบริการ 1.6 แสนคน ส่วนผู้ที่ว่างงานจากภาคเกษตรกรรมมีจำนวน 9 หมื่นคน
และเมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานจากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรตั้งแต่ 39-51 จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศในช่วงปี 41 ส่งผลให้มีผู้ว่างงานสูงถึง 1.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.4% แต่หลังจากนั้นการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยถึงเดือน ธ.ค.49 จนในปี 51 อัตราการว่างงานเริ่มคงที่