วีซ่า อิงค์ (Visa Inc.) บริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัทพุ่งสูงขึ้น 35% จากรายได้ในการซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของลูกค้าในต่างประเทศ
วีซ่า เปิดเผยว่า รายได้สุทธิช่วงไตรมาสแรกของปีงบการเงินไต่ระดับขึ้นแตะที่ 574 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 74 เซนต์ต่อหุ้นจากระดับ 424 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้านี้ โดยรายได้สุทธิที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ระดับ 78 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ 22 รายจากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ที่ 66 เซนต์ต่อหุ้น
ทั้งนี้ ณ เวลา 23.18 น. หุ้นของวีซ่าในตลาดนิวยอร์กทะยานขึ้น 7.9% ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์ก หลังจากที่บริษัทยืนยันถึงการปรับเพิ่มเป้าหมายผลประกอบการในก่อนหน้านี้
โจ ซาวเดอร์ ซีอีโอของวีซ่ากล่าวในแถลงการณ์ว่า วีซ่า มีธุรกิจที่เติบโตได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง แถมรายได้ต่อหุ้นจะพุ่งขึ้นอย่างน้อย 20% ในปีนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม สวนกระแสการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐที่ปรับตัวลดลงอันเป็นผลสืบเนื่องจากตัวเลขว่างงานที่เพิ่มขึ้น และจากการที่ผู้ปล่อยกู้คุมเข้มการออกสินเชื่อ
"แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญความท้าทายและมีอัตราการทำธุรกรรมที่ชะลอตัวลง แต่ยอดการใช้บัตรเดบิตของวีซ่าพุ่งสูงขึ้นขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายทั่วโลกยังช่วยหนุนให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจของเราขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง" ซีอีโอของวีซ่ากล่าวเสริม
ทั้งนี้ ยอดการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกได้ช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐ โดยยอดการใช้จ่ายพุ่งขึ้น 12% แตะที่ 7.01 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจากปีก่อนหน้านี้ ขณะที่ยอดการทำธุรกรรมทะยานขึ้น 13% แตะที่ 1.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนรายได้จากการดำเนินธุรกิจโดยรวมถีบตัวสูงขึ้น 17% อยู่ที่ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรของวีซ่าของลูกค้าในยุโรปกลาง ตะวันออกกลางและแอฟริกาพุ่งสูงขึ้น 44% ขณะที่การใช้บัตรวีซ่าในละตินอเมริการวมถึงแคริบเบียนขยายตัว 27% ส่วนในเอเชียแปซิฟิกโต 20% แซงหน้าสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 7.1% และยอดการซื้อสินค้าผ่านบัตรวีซ่าทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% แตะที่ระดับ 1.7 พันล้าน