ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดยหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล บ่งชี้ว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังไม่ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 โดยคาดว่าเศรษฐกิจอาจหดตัวลงถึง 4.6%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า เศรษฐกิจภายในประเทศหดตัวลงในเกือบทุกภาคเศรษฐกิจ โดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 หดตัวลง 3.8% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการหดตัวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2525 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ตัวเลขจีดีพีที่หดตัวลงในไตรมาส 4 มีสาเหตุหลักๆคือ การส่งออกที่อ่อนแอ การใช้จ่ายส่วนบุคคลที่ลดลง การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่ถดถอยลง ขณะที่ เศรษฐกิจตลอดปี 2551 ขยายตัวเพียง 1.3% ซึ่งลดลงจากอัตราขยายตัว 2% ในปี 2550 และ 2.8% ในปี 2549
ประธานาธิบดีบารัค โอบามากล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 สะท้อนให้เห็นถึงภาวะถดถอยรุนแรง และส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชาวอเมริกัน และยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มทรุดตัวลงอย่างหนักเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนที่จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม โอบามามั่นใจว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะกระตุ้นการจ้างงานได้ถึง 3.5 ล้านตำแหน่ง
ทั้งนี้ โอบามามองว่าหากสหรัฐไม่เร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทันท่วงที ก็จะยิ่งทำให้การแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจยากขึ้นไปอีก ซึ่งบทเรียนนี้เกิดขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1990 ซึ่งครั้งนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นไม่กล้าใช้มาตรการเชิงรุก และผลที่ตามมาก็คือเศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะวิกฤติรุนแรงขนาดที่เรียกว่า 'Lost Decade'
โรเจอร์ คูบายาช นักวิเคราะห์จากยูนิเครดิต โกลบอล รีเสิร์ช กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มถดถอยลงอีกในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ เนื่องจากกลุ่มบริษัทค้าปลีกและกลุ่มผู้ผลิตตั้งแต่สตาร์บัคส์ไปจนถึงโบอิ้งประกาศลดการจ้างงานและลดการผลิต ข้อมูลเศรษฐกิจในปัจจุบันจะบีบให้ประธานาธิบดีโอบามาดำเนินการทุกทางที่เป็นไปได้ เพื่อยับยั้งเศรษฐกิจถดถอย สำนักข่าวซินหัวรายงาน