บริษัทหลายแห่งในออสเตรเลียรายงานตัวเลขขาดทุนที่พุ่งสูงขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ที่เป็นปัจจัยบดบังรายได้ของบริษัทหลายแห่ง
ธนาคารคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลียได้สำรวจข้อมูลของบริษัทเอกชน 223 แห่งที่รายงานประกอบการครึ่งปีหลังซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.ว่ามีบริษัท 72 แห่งรายงานตัวเลขขาดทุนรวมกันทั้งสิ้น 9.8 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าตัวเลขขาดทุนที่ 860 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียจาก 38 บริษัทในปีก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกันบริษัท GPT Group บริษัทลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และ OZ Minerals Ltd. บริษัทเหมืองสังกะสีรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกมีตัวเลขขาดทุนรวมกันที่ 5.75 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยรายแรกรายงานยอดขาดทุนสุทธิตลอดทั้งปีที่ 3.25 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ขณะที่รายหลังมีผลประกอบการขาดทุน 2.5 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย นอกจากนี้ บริษัทเอกชนหลายแห่งรวมถึง Australia & New Zealand Banking Group Ltd. จำเป็นต้องปรับลดส่วนแบ่งเงินปันผลเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของดุลบัญชีงบประมาณและเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่บริษัทแฟร์แฟ็กซ์ มีเดีย ต้องประกาศขายหุ้นเพื่อหาเงินมาชำระหนี้
ทิม ชอร์เดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Pengana Capital ในเมลเบิร์นกล่าวผ่านทางบลูมเบิร์กว่า "การปรับลดมูลค่าทางบัญชี การประเมินมูลค่าสินทรัพย์และการกำหนดอัตราด้อยค่าของสินทรัพย์นั้นพุ่งสูงกว่าที่หลายคนคาดคิด"
ทั้งนี้ ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า บริษัทเอกชน 76 แห่งปรับลดการจ่ายเงินปันผล ขณะที่บริษัท 113 แห่งไม่จ่ายเงินปันผลหรือจ่ายเงินปันผลเท่าเดิม และมีเพียง 34 บริษัทเท่านั้นที่เพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น และหากไม่นับรวมรายได้จากกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินพบว่า รายได้ต่อหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ร่วงลง 13% สวนทางกับที่เพิ่มขึ้น 4.5% ในปีที่แล้ว