"วอร์เรน บัฟเฟตต์"เตือนเศรษฐกิจสหรัฐดิ่งเหว หลังอัตราว่างงานพุ่งรุนแรง

ข่าวต่างประเทศ Tuesday March 10, 2009 10:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังและเจ้าของบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ อิงค์ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในภาวะ "ดิ่งเหว" เนื่องจากตัวเลขว่างงานพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง และท้ายที่สุดจะถูกกระทบจากภาวะเงินเฟ้ออันเป็นผลมาจากวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์เชื่อมั่นว่าสหรัฐยังมีวันที่ดีรออยู่ข้างหน้า

การแสดงความคิดเห็นของบัฟเฟตต์มีขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะ 8.1% ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรร่วงลง 651,000 ตำแหน่ง โดยอัตราว่างงานเดือนก.พ.ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่เคยพุ่งสูงถึง 8.3% ในเดือนธ.ค.2526

บัฟเฟตต์กล่าวว่า ผู้นำสหรัฐจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน พร้อมกับเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมกันสนับสนุนความพยายามของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เนื่องจากความหวาดกลัวกำลังครอบงำชาวอเมริกันและทำให้พฤติกรรมการใช้เงินของชาวอเมริกันเปลี่ยนแปลงไปด้วย

"เศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะดิ่งเหว เหมือนกับนักไต่เขาที่ร่วงหล่นจากหน้าผา สหรัฐไม่เพียงแต่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเท่านั้น แต่ชาวอเมริกันยังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอุปโภคบริโภคอย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งดูได้จากยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่หดตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งบริษัทในเครือเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ของผมก็ถูกกระทบด้วย" บัฟเฟตต์กล่าว

บัฟเฟตต์คาดการณ์ว่า ตัวเลขว่างงานจะพุ่งขึ้นอีกก่อนที่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจะจบสิ้นลง อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์เชื่อมั่นว่า เมื่อมรสุมทางเศรษฐกิจผ่านพ้นไปแล้ว ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอย เนื่องจากสหรัฐมีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่และมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากพอ และเชื่อว่าสหรัฐยังคงมีวันดีๆรออยู่

"ที่ผ่านมานั้นสหรัฐถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวและสับสน ดังนั้น สมาชิกทั้ง 535 คนในสภาคองเกรสจะต้องขจัดความกลัวนี้ออกไปเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและกล้าจับจ่ายใช้สอย และนักลงทุนกล้ากลับมาลงทุนอีกครั้ง ถึงเวลาแล้วที่สภาคองเกรสจะต้องยุติการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย แต่ให้ไปถึงจุดหมายเดียวกันคือการกู้วิกฤติเศรษฐกิจ และนักการเมืองทุกคนต้องยุติความพยายามที่จะใช้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย" บัฟเฟตต์กล่าว

ทั้งนี้ บัฟเฟตต์เชื่อว่า การแก้ปัญหาในระบบการธนาคารเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาต้องทำให้ประชาชนมั่นใจว่าเงินภาษีของพวกเขาจะไม่สูญไปกับการนำไปอุ้มธนาคารที่เสี่ยงต่อการล้มละลาย

"ถ้าประชาชนไม่ไว้วางใจว่าคุณจะบริหารเงินภาษีของพวกเขาได้ ทุกอย่างก็จบ เมื่อสหรัฐจบ โลกก็หยุดหมุน ผมยังคงเชื่อว่าธนาคารส่วนใหญ่มีฐานะทางการเงินที่ดี แม้มีธนาคารบางแห่งประสบปัญหาบ้างก็ตาม แต่โดยภาพรวมแล้วธนาคารพาณิชย์ยังไปต่อได้ เพราะเมื่อกลไกการกู้ยืมกลับมาทำงานได้ตามปกติ ระบบการธนาคารก็จะกลับสู่ภาวะปกติด้วย" บัฟเฟตต์กล่าว

ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐ จะตกอยู่ในภาวะ "ระส่ำระสาย" ตลอดทั้งปีนี้ เนื่องจากสถาบันการเงินขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลมาจากการปล่อยเงินกู้แบบขาดวินัยในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู โดยการคาดการณ์ครั้งนั้นมีขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2551 หดตัวลง 6.2%ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวรุนแรงสุดในรอบ 27 ปี

การแสดงความคิดเห็นครั้งล่าสุดของบัฟเฟตต์เป็นหนึ่งในปัจจัยลบที่ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 79.89 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 6,547.05 จุด เมื่อคืนนี้

บริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ของบัฟเฟตต์เป็นเจ้าของบริษัทในเครือกว่า 60 แห่ง ซึ่งครอบคลุมถึงธุรกิจเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ แก๊สธรรมชาติ เครื่องบินเจ็ท และบริษัทผลิตขนม นอกจากนี้ เบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ยังเข้าลงทุนล็อตใหญ่ในบริษัทโคคา-โคลา และธนาคารเวลล์ ฟาร์โก แอนด์ โค สำนักข่าวเอพีรายงาน



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ