ธนาคารโลกเปิดเผยรายงานในวันนี้ว่า แม้ผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ให้คำมั่นสัญญาในที่ประชุมเมื่อเดือนพ.ย.ปี 2551 ว่าจะหลีกเลี่ยงการใช้นโยบายกีดกันการค้า แต่หลายประเทศ รวมถึง 17 ประเทศในกลุ่ม G20 ได้ออกมาตรการ 47 ฉบับที่ควบคุมการค้าระหว่างประเทศอย่างเข้มงวด
โรเบิร์ต บี โซลลิค ประธานธนาคารโลกกล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์การเงินโลก รัฐบาลในหลายประเทศได้เสนอให้ใช้ หรือมีการใช้นโยบายกีดกันการค้ามาโดยตลอด โดยมีนโยบาย 66 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการคุมเข้มการค้าระหว่างประเทศ และ 47 ฉบับระบุให้นโยบายคุมเข้มการค้าระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้อย่างเข้มงวด ซึ่งการบังคับใช้นโยบายเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบด้านลบต่ออุตสาหกรรมส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ
"ผู้นำประเทศจะต้องให้ความสนใจเรื่องนโยบายกีดกันการค้าว่าสร้างความเสียหายต่อระบบการค้าโลกมากเพียงใด ไม่ว่านโยบายดังกล่าวจะแฝงอยู่ในรูปมาตรการกระตุ้นการค้าและเศรษฐกิจ หรือให้ความช่วยเหลือภาคเอกชน ลัทธิโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ หรือ Economic isolationism จะส่งผลกระทบในด้านลบในวงกว้างเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1930 ซึ่งในครั้งนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกเลวร้ายมาก" โซลลิคกล่าวธนาคารโลกเตือนว่า ประเทศที่ไม่ยอมทำตามมติที่ประชุมการค้าโลกที่เมืองโดฮามีจำนวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกเข้าใจว่าเนื่องจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงในขณะนี้ จึงอาจทำให้หลายประเทศไม่มีทางออกและถูกบีบให้ต้องปกป้องการค้าในประเทศตนเอง แต่การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการละเมิดมติข้อตกลงรอบโดฮา
ทั้งนี้ ธนาคารโลกแนะนำว่า กลุ่ม G20 ควรใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อขจัดความเปราะบางและมุ่งมั่นดำเนินการต่อต้านนโยบายกีดกันการค้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน