นายเมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษกล่าวว่า แนวโน้มดัชนีราคาผู้บริโภคจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดทิศทางนโยบายทางการเงิน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการซื้อสินทรัพย์เพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ
"โดยปกติแล้วนโยบายทางการเงินจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ของทิศทางเงินเฟ้อ" นายคิงกล่าว "แนวโน้มเงินเฟ้อจะเป็นตัวตัดสินว่าธนาคารควรเข้าซื้อสินทรัพย์เมื่อไหร่และมากน้อยแค่ไหน เพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยกลับคืนมาอยู่ในระดับปกติ"อย่างไรก็ตาม รายงานหลังการประชุมธนาคารกลางเมื่อวันที่ 5 มี.ค.นั้นจะระบุถึงแนวทางการตัดสินใจเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% และการอัดฉีดเงินจำนวน 7.5 หมื่นล้านปอนด์ (1.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีเป้าหมายที่จะให้ความช่วยเหลือภาคธนาคารอย่างเต็มที่ และเพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการที่น่าเชื่อถือเพื่อควบคุมการใช้จ่ายและลดตัวเลขขาดดุลรวมถึงตัวเลขหนี้สินที่มีอยู่ โดยคิงกล่าว ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเพิ่มงบประมาณมากขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อหวังช่วยให้ผู้ปล่อยเงินกู้มีสภาพคล่องหมุนเวียนในภาวะฉุกเฉิน แต่ในการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ ธนาคารไม่สามารถอัดฉีดเงินทุนระยะยาวและไม่สามารถเข้าซื้อหนี้เสียได้มากนัก
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า วิกฤตการณ์ต่างๆสะท้อนให้เห็นว่าข้อบังคับด้านการเงินจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้มีการผ่อนคลายความเข้มงวดลง ขณะเดียวกันก็ไม่ควรตั้งความหวังกับข้อกำหนดเหล่านี้มากนักโดยเขากล่าวว่า "เราไม่สามารถกำหนดกรอบนโยบายที่สมบูรณ์แบบและไม่ควรหวังใช้นโนบายดังกล่าวเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่อุปสงค์ทั่วโลกดิ่งเหวลง"
ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะลดลงสู่ระดับ 0.3% ในต้นปี 2554 จากปัจจุบันนี้ที่ 3% โดยธนาคารตั้งเป้าควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ขยายตัวที่ระดับ 2%