ไมค์ มาโย นักวิเคราะห์ชื่อดังด้านการธนาคารจากบริษัทหลักทรัพย์คาลิยงในนิวยอร์กคาดการณ์ว่า ตัวเลขหนี้เสียของธนาคารในสหรัฐจะพุ่งขึ้นสูงกว่าในช่วงวิกฤตการณ์ Great Depression เมื่อทศวรรษที่ 1930 และได้จัดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มธนาคารไว้ที่ "Underperform" หรือปรับตัวย่ำแย่กว่าตลาดโดยรวม พร้อมกับจัดอันดับความน่าลงทุนหุ้นหลายตัวในกลุ่มธนาคารไว้ที่ "sell" หรือแนะนำให้ขาย
การแสดงความคิดเห็นของมาโยส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 41.74 จุด หรือ 0.52% แตะที่ 7,975.85 จุด
มาโยคาดว่า ธนาคารในสหรัฐจะถูกกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยคาดว่าหนี้เสียในภาคธนาคารอาจเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 3.5% ภายในช่วงสิ้นปีพ.ศ.2553 โดยคาดว่าภาคธนาคารจะขาดทุนเป็นวงเงินราว 6 แสนล้านดอลลาร์ ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลจากปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับสัญญาจำนอง และส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนอื่นๆในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเหตุให้ตัวเลขกำไรของธนาคารหดตัวลงเรื่อยๆ
ทั้งนี้ รายงานของมาโยระบุถึงปัญหา 7 ประการที่เกิดขึ้นในภาคการธนาคาร ซึ่งครอบคลุมถึงอัตราการเติบโตที่เร็วเกินไปของสินเชื่อ กฎข้อบังคับที่ไม่โปร่งใสในภาคอสังหาริมทรัพย์ ความโลบในอัตราผลตอบแทนสูง และความหละหลวมในด้านบริหารความเสี่ยง
"แม้รัฐบาลสหรัฐจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลดตัวเลขหนี้เสียในภาคการธนาคาร รวมถึงการเข้าซื้อหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์นั้น ยังไม่เพียงพอที่จะพลิกฟื้นวิกฤตการณ์ได้" มาโยกล่าว
กระทรวงการคลังสหรัฐประกาศใช้งบประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกำจัดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกจากงบดุลบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ภายใต้ชื่อ "โครงการลงทุนภาครัฐ-เอกชน" (Public-Private Investment Programme) ซึ่งกระทรวงเชื่อว่าจะช่วยยับยั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยและช่วยฟื้นฟูระบบการเงินในสหรัฐ แต่พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า เขารู้สึกผิดหวังต่อแผนการดังกล่าวและเชื่อว่าจะล้มเหลวอย่างแน่นอน
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่มาโยจัดอันดับความน่าลงทุนที่ ในครั้งนี้ underperform ได้แก่ แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์โค, โคอเมริกา อิงค์, ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ส่วนธนาคารที่ถูกแนะนำให้นักลงทุน "ขาย" ได้แก่บีบีแอนด์ที คอร์ป, ฟิฟธ์ เธิร์ด แบงคอร์ป, คีย์คอร์ป, ซันทรัสต์ แบงก์ส อิงค์, ยู.เอส.แบงคอร์ป และพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล สำนักข่าวเอพีรายงาน