นักวิเคราะห์คาดปิโตรไชน่าเดินหน้าเทคโอเวอร์สิงคโปร์ ปิโตรเลียม นั้น อาจจะเป็นการส่งสัญญาณถึงจุดเริ่มต้นของการทุ่มเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์และกิจการในต่างประเทศ หลังจากที่กลุ่มผู้ถือหุ้นได้อนุมัติให้มีการออกพันธบัตรมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการขยายขอบเขตการลงทุน
ปิโตรไชน่า ซึ่งเป็นบริษัทรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกเมื่อพิจารณาตามมูลค่าทางตลาด ได้เสนอซื้อหุ้นเคปเพล 45.5% มูลค่า 1.47 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 1 พันล้านดอลลาร์
บลูมเบิร์กรายงานว่า ออง เอง ตง ที่ปรึกษาของมาบานาฟท์ จีเอ็มบีเอช กล่าวว่า จีนมีทั้งเงินสด แต่สินค้าโภคภัณฑ์ก็มีจำนวนจำกัด ดังนั้นการที่จีนออกไปซื้อทรัพยากรภายนอกไว้สำหรับใช้งานในอนาคตจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ในปีนี้ จีนตกลงให้เงินกู้แก่รัสเซีย คาซัคสถาน บราซิล และเวเนซูเอล่า มูลค่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการจัดหาน้ำมัน โดยรัฐบาลจีนได้นำเงินจากสำรองเงินตราต่างประเทศมูลค่า 1.95 ล้านล้านดอลลาร์มาซื้อสินค้าโภคภัณฑ์และทรัพย์สินด้านพลังงาน
ปิโตรไชน่าเปิดเผยผ่านทางแถลงการณ์ว่า บริษัทจะซื้อหุ้นของสิงคโปร์ ปิโตรเลียมจำนวน 234.5 ล้านหุ้น ที่ราคา 6.25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น จากบริษัท เคปเพล คอร์ป ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่ได้มีการซื้อขายล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ 5.04 ดอลลาร์
สิงคโปร์ ปิโตรเลียม ถือหุ้นในบ่อน้ำมันในประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย เวียดนาม และกัมพูชา และมีท่อลำเลียงก๊าซใต้ทะเลจากอินโดนีเซียไปยังสิงคโปร์ อีกทั้งยังมีสถานีกักเก็บก๊าซ บริษัทยังถือหุ้นในสิงคโปร์ รีไฟนิง ร่วมกับเชฟรอน โดยสิงคโปร์ รีไฟนิง เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจกลั่นน้ำมันได้ถึง 285,000 บาร์เรลต่อวัน
ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติให้ปิโตรไชน่าขายพันธบัตรมูลค่าถึง 1 แสนล้านหยวน หรือ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการสำรวจหาน้ำมัน วางท่อน้ำมัน และโครงการน้ำมันในต่างประเทศ นายเจียง เจียหมิน ประธานบริษัทเปิดเผยว่า บริษัทวางที่จะใช้งบประมาณ 2.33 แสนล้านหยวนในปีนี้ เพื่อซื้อและยกระดับสินทรัพย์ เนื่องจากช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับการซื้อกิจการในต่างประเทศ เพราะบริษัทตั้งเป้าว่าจะเพิ่มการปฏิบัติการในต่างประเทศอีกมาในช่วง 8-10 ปีข้างหน้า