"หม่อมอุ๋ย"เตือนรัฐมองภาพให้ชัดอย่าด่วนสรุป ศก.ฟื้น แนะจับตาสหรัฐหลังมิ.ย.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 5, 2009 13:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมว.คลังและอดีตผู้ว่าการ ธนาคารห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวในการสัมมนา"โอกาส...ประเทศไทย"ว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าภาคการผลิตจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาภาคการผลิตที่ขยายตัวจากการเพิ่มสต็อกสินค้าของผู้ประกอบการ ในขณะที่ตัวเลขการเลิกจ้างในภาคอุตสาหกรรมยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง แม้จะเป็นตัวเลขที่ลดลงก็ตาม ดังนั้น จึงไม่ต้องการให้รัฐบาลประมาทว่าเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว

ทั้งนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ตั้งข้อสังเกตให้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกหลังจากเดือน มิ.ย.52 เป็นต้นไป โดยเฉพาะการติดตามข่าวสารในสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะเป็นช่วงที่ทางฝั่งสหรัฐฯ ต้องตั้งสำรองหนี้ตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งจะสะท้อนภาพผลกระทบของสถาบันการเงินสหรัฐฯ ในแต่ละแห่งออกมา

อดีต รมว.คลัง ยังเสนอแนะรัฐบาลให้เร่งอัดฉีดเม็ดเงิน 8 แสนล้านบาท-1 ล้านล้านบาท ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อเร่งกระตุ้นการลงทุน นอกจากนี้รัฐบาลต้องเริ่มออกมาชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดของวงเงินลงทุน 1.5 ล้านล้านบาท ตามแผนดังกล่าว เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนพร้อมจะเข้ามาลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และโครงการชลประทาน

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องหันมาสร้างความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงภายในประเทศ ซึ่งจุดนี้ถือว่าไทยได้พลาดไปแล้วในช่วงการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยา เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้สูญเสียโอกาสที่จะแสดงความเชื่อมั่นต่อผู้นำแต่ละประเทศอาเซียนในการดูแลรักษาความมั่นคงในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลไทยจะต้องเดินหน้าเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งใหม่ให้ได้

"รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้คะแนนประชานิยมเพิ่มขึ้นจากที่ยังไม่ผ่านโครงการรถเมล์ NGV ดังนั้นจึงต้องเร่งดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ...ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องพูดออกไปว่ามีอะไรบ้างที่จะลงทุน ภาคอุตสาหกรรมจะได้เตรียมตัวรับมือ เช่น โครงการรถไฟรางคู่ จะเริ่มประกวดราคาเมื่อใด ต้องพูดให้ชัดเจน เราต้องกล้าที่จะผูดมัดตัวเอง พูดในรายละเอียดให้เอกชนรู้และเชื่อมั่น" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

อดีต รมว.คลัง มองว่าประเทศไทยยังมีความหวังในการดูแลเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว เพียงแต่ต้องดำเนินนโยบายและพร้อมชี้แจงให้เอกชนเข้าใจถึงโครงการลงทุนของรัฐบาลอย่างชัดเจน พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ดซึ่งเป็นความหวังของภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากโครงการนี้ได้ล่าช้ามานานแล้ว รัฐบาลสามารถเลือกทำนิคมอุตสาหกรรมเพื่อทำท่าเรือน้ำลึก ซึ่งจะทำให้นักลงทุนกล้าเข้ามาลงทุนเร็วกว่าที่คาด

นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องเร่งเข้ามาดูแลรายได้ภาคเกษตร กระจายรายได้ของเกษตรกรให้ดีขึ้น และควรทบทวนนโยบายการรับจำนำพืชผลทางการเกษตร ประเมินให้เห็นผลสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการ พร้อมเตือนให้รัฐบาลใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจนโยบายใดๆ ที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน เช่น การชะลอโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นต้น

นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เสนอแนะให้รัฐบาลดำเนินนโยบาย 3 ด้านควบคู่กัน เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น คือ การใช้นโยบายอัดฉีดสินเชื่อเข้าสู่ระบบ, การดำเนินนโยบายการคลัง และการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้ทั้ง 3 แนวทางในสัดส่วนที่สมดุลกันและสอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

"การฟื้นตัวของทุกประเทศใช้องค์ประกอบ 3 อย่าง เช่น จีนใช้ทั้งสินเชื่อ นโยบายการคลัง และอัตราแลกเปลี่ยนในสัดส่วนที่เท่ากัน ส่วนสหรัฐฯ ไม่มีเรื่องนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน แต่ใช้นโยบายการเงินการคลัง ส่วนเกาหลี จะเห็นได้ว่าใช้นโยบายเงินวอนอ่อนค่า ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นการส่งออกของประเทศ ดังนั้นโครงสร้างเศรษฐกิจของเราน่าจะใช้ทั้ง 3 วิธีพร้อมกัน" นายโอฬาร กล่าว
แท็ก สหรัฐ   ธปท.  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ