การส่งออกของจีนทำสถิติร่วงลงต่อเนื่อง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยได้ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าที่ผลิตโดยจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
สำนักงานศุลการกรจีนเปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกประจำเดือนพ.ค.ลดลง 26.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 8.87 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกในช่วง 5 เดือน ตั้งแต่เดือนม.ค. - พ.ค. 2552 รวมอยู่ที่ 4.26 แสนล้านดอลลาร์ ลดลง 21.8%
ขณะที่ยอดการนำเข้าเดือนพ.ค.ลดลง 25.2% แตะ 7.536 หมื่นล้านดอลลาร์ และยอดนำเข้ารวม 5 เดือนอยู่ที่ 3.3734 แสนล้านดอลลาร์ ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว
ทั้งนี้ การส่งออกและนำเข้าของจีนหดตัวเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันแล้ว โดยมีมูลค่ารวม 1.64 แสนล้านดอลลาร์ ร่วงลง 25.9% จากปีก่อน และลดลง 3.1% จากเดือนเม.ย. ส่วนยอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1.339 หมื่นล้านดอลลาร์
หวัง เฉียน นักเศรษฐศาสตร์จากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค กล่าวกับบลูมเบิร์กว่า การส่งออกของจีนอาจมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และการส่งออกของจีนจะฟื้นตัวขึ้นได้อย่างยั่งยืนก็ต่อเมื่อดีมานด์จากประเทศเศรษฐกิจรายใหญ่เริ่มกลับคืนมาอีกครั้งในช่วงกลางปีนี้
จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้ลดภาษี ส่งเสริมการกู้ยืม และให้คำมั่นว่าจะรักษาระดับเงินหยวนให้มีเสถียรภาพ เพื่อหนุนการค้ากับต่างประเทศท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ the Great Depression โดยเศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบเกือบสิบปีเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากคำสั่งซื้อที่ลดลงได้บีบให้ผู้ผลิตต้องพากันปิดโรงงานและไล่พนักงานออก
ซิง ซีเฉียง นักเศรษฐศาสตร์จากไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล คอร์ป กล่าวว่า ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดสำหรับการส่งออกกำลังจะจบลง และแนวโน้มการส่งออกจะเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนมิ.ย. โดยนายซิงมองว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดส่งออกเดือนพ.ค.ลดลงอาจมาจากการที่เดือนนี้มีวันหยุดยาว
รัฐบาลจีนเองกล่าวในเดือนนี้ว่า การค้ายังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนำมาตรการคืนภาษีส่งออกที่สูงขึ้นมาใช้กับผลิตภัณฑ์เหล็ก สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และของเล่น ซึ่งเป็นการคืนภาษีในอัตราที่สูงขึ้นเป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา