นิด้าเชื่อกม.กู้เงินผ่านสภาฯฉลุย/ประเมินผลงานรัฐบาล 6 เดือนได้เกรด B

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 12, 2009 13:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (GSPA NIDA)เชื่อว่า พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท จะสามารถผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ ในวันที่ 15-16 มิ.ย.ไปได้ด้วยดี และไม่คิดว่าจะถูกนำมาใช้เป็นเกมการเมือง เนื่องจากเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ

"การพิจารณา พ.ร.ก. เงินกู้ 4 แสนล้านบาทในสัปดาห์หน้าเชื่อว่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่น่าจะมีปัญหา หรือถูกเกมการเมืองขัดขา ซึ่งทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลจะต้องช่วยกันไตร่ตรองในเรื่องนี้ เพราะถือเป็นเรื่องที่จำเป็นและประชาชนได้ประโยชน์โดยตรง ดังนั้นถ้ายิ่งพิจารณาได้เร็วก็จะยิ่งได้ประโยชน์" นายมนตรี กล่าว

ส่วนการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในส่วนใดบ้างนั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นภาพชัดเจนแต่โดยหลักการแล้วถ้าจะให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ รัฐบาลจำเป็นต้องรีบลงทุนในโครงการขนาดใหญ่และต่อเนื่องโดยเร็ว เช่น โครงการสาธารณูปโภคต่างๆ

นายมนตรี กล่าวว่า นอกจากการพิจารณา พ.ร.ก. เงินกู้ 4 แสนล้านบาทที่คาดว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 53 วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ในระหว่างวันที่ 17-18 มิ.ย.ก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกัน เพื่อจะให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค.52 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ

อย่างไรก็ดี สำหรับงบกลางวงเงิน 2.15 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 12.7% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนั้น รัฐบาลควรจะต้องมีการจัดสรรใช้จ่ายที่ชัดเจนเพื่อเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่

"ดูจากการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย 1.7 ล้านล้านบาทนั้น ส่วนใหญ่ก็เหมาะสมทั้งในส่วนของกระทรวงศึกษาที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาชาติ กระทรวงการคลังที่ต้องเร่งฟื้นเศรษฐกิจโดยเร็ว แต่ที่ตั้งข้อสังเกตก็คือในส่วนของงบกลาง ซึ่งหมายถึงงบที่รัฐบาลยังไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะใช้ทำอะไรนั้นมีมากถึง 2.15 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ายังไม่มีแผนจริงๆ ก็น่าจะแบ่งไปให้ส่วนอื่นที่มีโครงการลงทุนชัดเจนดีกว่า" รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา GSPA NIDA กล่าว

ขณะที่ยุทธศาสตร์งบประมาณรายจ่ายยังมีบางด้านที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ 1.45 แสนล้านบาท และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเศรษฐกิจให้ขยายตัวให้อย่างมีเสถียรภาพวงเงิน 1.58 แสนล้านบาทนั้นยังถือว่าต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตที่มีวงเงินมากถึง 5.06 แสนล้านบาท เนื่องจากการสร้างความเชื่อมั่นและสร้างการเติบโตเป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนเป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ หากประเมินผลงานรัฐบาลซึ่งใกล้จะครบรอบ 6 เดือนนั้น ภาพรวมการบริหารงานด้านเศรษฐกิจถือว่าอยู่ในระดับเกรด B โดยสามารถดำเนินนโยบายต่อเนื่องและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แต่ยังขาดการวางแผนที่เป็นระบบและขาดการประสานงานที่ดีพอ โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ทำให้ที่ผ่านมาจะเห็นภาพนายกรัฐมนตรีต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ