นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชื่อดังคาดการณ์ตรงกันว่า เงินดอลลาร์จะทะยานแข็งค่าขึ้นสูงถึง 17% เมื่อเทียบกับเงินยูโรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยได้เร็วกว่าประเทศในแถบยุโรป
นักวิเคราะห์จากซีไอบีซี เวิลด์ มาร์เก็ตส์, ดอยช์ แบงก์ เอจี, แบงก์ ออฟ อเมริกา และเวลล์ส ฟาร์โก แอนด์ โค คาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นกว่า 4% ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่เมื่อปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ค่าเงินดังกล่าวร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2545
เฮนริก กัลเบิร์ก นักวิเคราะห์จากดอยช์แบงก์กล่าวกับบลูมเบิร์กว่า "เงินดอลลาร์จะทะยานขึ้นอย่างคึกคัก หากพิจารณาถึงข้อมูลในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสหรัฐในช่วง 1-2 ไตรมาสต่อจากนี้"
โดยเขาคาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์ปิดที่ระดับ 1.3971 ยูโร/ดอลลาร์ในปี 2551 และอาจอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 1.40 ยูโร/ดอลลาร์ในสิ้นเดือนนี้ และคาดว่าเงินดอลลาร์จะทะยานขึ้น 17.1% ไปแตะ 1.20 ยูโร/ดอลลาร์ในช่วงปลายปี ซึ่งจะเป็นระดับที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับเงินยูโรนับตั้งแต่ปี 2524
ด้านอดัม ฟาซิโอ นักวิเคราะห์จากซีไอบีซีกล่าวว่า "สถานการณ์ในยุโรปกำลังเคลื่อนไหวตามปัจจัยหนุนที่มีอยู่รอบด้าน ดังนั้นทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์จะเป็นไปตามปัจจัยจากประเทศอื่นๆ ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์จะแข็งค่าในระยะสั้นๆ และคาดว่าจะพุ่งขึ้น 4.1% ในอีก 2 ไตรมาสถัดไป
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวนั้นได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในสหรัฐที่ทะยานสูงขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ค. และนักวิเคราะห์จากโพลล์บลูมเบิร์กคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้ 1.9% ในปีหน้า หลังจากที่หดตัวลง 2.7% ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปหดตัว 4.3% ในปีนี้ก่อนที่จะขยายตัว 0.5% ในปีต่อไป
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผยว่า ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวแล้ว ขณะที่เมื่อสัปดาห์ก่อนกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ได้เรียกร้องให้ธนาคารกลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เร็วยิ่งขึ้น