ถ้อยแถลงของซัมเมอร์สที่เปิดเผยผ่านทางบลูมเบิร์กสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยที่บ่งชี้ที่ว่า จุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งรุนแรงในรอบ 50 ปีอาจสิ้นสุดภายใต้ความเคลื่อนไหวของภาคเอกชนที่มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย ขณะเดียวกันคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้มุ่งเน้นใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเจ้าของบ้านให้รอดพ้นจากการถูกยึดบ้านหลุดจำนอง และยกเครื่องระบบการดูแลสุขภาพซึ่งอาจช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง
"แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ยังไม่แน่นอนและยากจะคาดเดา เพราะความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของมาตรการต่างๆที่รัฐบาลบังคับใช้ไป ไม่ว่าจะเป็นระบบการดูและสุขภาพและการกำหนดข้อบังคับด้านการกำกับดูแลตลาดเงินและตลาดพลังงาน" ซัมเมอร์สกล่าวนอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของซีไอที กรุ๊ป อิงค์ สถาบันปล่อยกู้รายใหญ่ของสหรัฐที่มีอายุ 101 ปีอย่างใกล้ชิดซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากภาวะล้มละลายหลังมีข่าวว่าบริษัทขาดทุน 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกัน ซัมเมอร์สยังกล่าวด้วยว่า ปัญหาท้าทายที่ใหญ่หลวงคือการคาดเดาสถานการณ์ในตลาดแรงงาน เพราะโดยปกติแล้ววิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดแรงงานจะใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวหลังผ่านพ้นช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
โดยกระทรวงแรงงานเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานตกลง 47,000 รายมาอยู่ที่ 522,000 รายในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 11 ก.ค. ขณะที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.5% เมื่อเดือนที่แล้ว และเศรษฐกิจต้องสูญเสียแรงงานในประเทศไปประมาณ 6.5 ล้านตำแหน่งนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550