แบงค์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สุดของสหรัฐ อาจต้องลดจำนวนสาขาลงในอีก 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากลูกค้านิยมทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือมากขึ้น
"เรามีข้อมูลว่าลูกค้าหันไปใช้บริการทางช่องทางอื่นในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น รวมถึงอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ จึงทำให้เรามีความคิดที่จะลดจำนวนสาขา เรากำลังทำสิ่งที่พวกท่านคาดหวังให้เราทำ ซึ่งก็คือการดูแลธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นด้านการบริการ เราอาจจะลดจำนวนสาขา แต่ก็ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ และยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเหลือศูนย์กลางการธนาคารไว้จำนวนเท่าใด" นายเลียม แมคกี ประธานฝ่ายการธนาคารและลูกค้าของแบงค์ ออฟ อเมริกา
แมคกีกล่าวว่า แบงค์ ออฟ อเมริกา ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองชาร์ล็อต มลรัฐนอร์ธ แคโรไลนา ติดอันดับ 1 ในฐานธนาคารที่มีลูกค้าใช้ช่องทางในการทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ตสูงถึง 29.2 ราย ณ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา และมีผู้ใช้ช่องทางโทรศัพท์มือถือในการทำธุรกรรมถึง 3 ล้านราย หลังจากธนาคารเปิดให้บริการในช่องทางดังกล่าวเมื่อ 18 เดือนที่ผ่านมา
ปัจจุบัน แบงค์ ออฟ อเมริกา มีสาขาทั้งสิ้น 6,109 สาขา ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วอยู่ 22 สาขา ขณะที่นางเคนเน็ธ เลวิส ซีอีโอแบงค์ ออฟ อเมริกา กล่าวว่า เขาวางแผนที่จะลดจำนวนสาขาลง 10%
"การลดจำนวนสาขาจะเป็นประโยชน์กับเราในเรื่องการลดต้นทุน หลังจากเราได้เข้าซื้อกิจการคันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ป ในปี 2551 และซื้อกิจการเมอร์ริล ลินช์ ในปีเดือนม.ค.ที่ผ่านมา การที่เราทุ่มเงินซื้อแบงค์อื่นๆไปจำนวนมากนั้น เราก็จะเป็นต้องหาทางลดต้นทุนด้วย ซึ่งการลดจำนวนสาขานับเป็นทางออกที่ดีในตอนนี้" เลวิสกล่าวขณะที่แมคกีกล่าว"แบงค์ ออฟ อเมริกา ยังคงสนับสนุนการมีศูนย์กลางการธนาคารหลายร้อยแห่ง เพราะศูนย์ฯของเรามีประสิทธิภาพและเป็นกลไกหลักทางธุรกิจของเรา โดยปัจจุบันเรามีตู้ ATM อยู่ 18,426 แห่ง แต่ลดลงไป 105 ตู้จากปีที่แล้ว"
บลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของ SNL Financial ว่า ยอดเงินฝากโดยรวม ณ วันที่ 30 มิ.ย.ของแบงค์ ออฟ อเมริกา อยู่ที่ 9.707 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ที่ 8.665 แสนล้านดอลลาร์ และเวลส์ ฟาร์โก ที่ 8.137 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของแบงค์ ออฟ อเมริกายืนอยู่ที่ 12.2%