ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ยกเว้นเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ส.ค.) หลังจากมีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่อ่อนแอ ซึ่งได้ช่วยดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อสกุลเงินดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ทั้งนี้ ดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น 0.31% แตะที่ 1.0731 ฟรังค์สวิส จากระดับ 1.0698 ฟรังค์สวิส และเพิ่มขึ้น 1.22% เมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา แตะ 1.0995 ดอลลาร์ จาก 1.0863 ในวันพฤหัสบดี แต่ลดลง 0.61% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 94.800 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 95.380 เยน
ส่วนยูโรอ่อนค่าลง 0.70% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ 1.4186 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4286 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี และร่วงลง 1.36% เมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ 134.48 เยน จากวันก่อนที่ 136.34 เยน
ขณะที่ เงินปอนด์อ่อนค่า 0.34% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แตะที่ 1.6523 ดอลลาร์ จากระดับ 1.6579 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี
โดยสัญญาน้ำมันดิบ รวมถึงตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้รับแรงขายกดดัน หลังจากที่ได้มีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคช่วงต้นเดือนสิงหาคมโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน ลดลงสู่ระดับ 63.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแค่เดือนมี.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 68.5 จากระดับ 66.0 ในช่วงปลายเดือนก.ค. โดยเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ตัวเลขดังกล่าวร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปีที่ 55.3
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงนั้น เชื่อมโยงกับปัจจัยแวดล้อมในตลาดแรงงานที่สะท้อนให้เห็นได้จากการจ้างงานที่ยังคงลดลงในเดือนก.ค. รวมไปถึงการกดดันเรื่องค่าจ้างและเงินเดือน
ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานราคาผู้บริโภคเดือนก.ค.ที่ทรงตัวจากเดือนมิ.ย. เนื่องจากราคาพลังงานที่ลดลง โดยราคาผู้บริโภคร่วงลง 2.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแย่ที่สุดในรอบสิบปี