เรียลตี้แทรค อิงค์ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ให้บริการข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จำนวนบ้านถูกยึดในสหรัฐประจำเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 18% แตะที่ 358,471 หลัง ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 6 เดือน เนื่องจากอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี ทำให้กลุ่มเจ้าของบ้านไม่สามารถชำระค่าผ่อนบ้านและดอกเบี้ยได้
มอร์ริส เดวิส อดีตนักวิเคราะห์ประจำธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ที่ Wisconsin School of Business กล่าวว่า จำนวนบ้านที่ถูกยึดในสหรัฐพุ่งขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตัวเลขจ้างงานในประเทศร่วงลงอย่างหนัก โดยในเดือนส.ค. ตัวเลขจ้างงานลดลง 216,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.7%
"ตัวเลขจ้างงานที่ร่วงลงกำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความพยายามของรัฐบาลสหรัฐในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและลดจำนวนบ้านที่ถูกยึด ยิ่งตัวเลขจ้างงานลดลง จำนวนบ้านที่ถูกยึดก็จะยิ่งมากขึ้นเพราะประชาชนที่ไร้งานทำไม่สามารถนำเงินต้นและดอกเบี้ยไปชำระให้กับสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ได้" เดวิสกล่าวจำนวนบ้านถูกยึดในสหรัฐยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงแม้ดีมานด์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม โดยยอดขายบ้านมือสองประจำเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 7.2% แตะระดับ 5.24 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี หลังจากปรับตัวขึ้นที่ระดับ 4.89 ล้านยูนิตต่อปีในเดือนมิ.ย
ส่วนยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.ของสหรัฐพุ่งขึ้น 9.6% แตะระดับ 433,000 ยูนิต ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 390,000 ยูนิต ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฟื้นตัวขึ้นแล้วหลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยปัจจัยที่ทำให้ยอดขายบ้านพุ่งขึ้นเหนือความคาดหมายมาจากราคาบ้านที่ปรับตัวลดลง บลูมเบิร์กรายงาน