อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นที่ดอยช์แบงค์ ซิเคียวริตีส์ กรุงโตเกียว ว่า เขาวิตกกังวลว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐจะขัดขวางความพยายามของเฟดในการควบคุมมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อในตลาดพันธบัตรอาจพุ่งสูงขึ้นด้วย
"การเมืองในสหรัฐอเมริกาทำให้ผมกังวลใจอย่างมาก แม้สภาคองเกรสจะอ้างว่าไม่รู้สึกกังวลใจที่เฟดจะยุติการใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือภาวะเงินเฟ้อที่จะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อตลาด" กรีนสแปนกล่าวกรีนสแปนยังกล่าวด้วยว่า อัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้ อาจทำให้เฟดเผชิญกับแรงต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งจะทำให้เฟดไม่สามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0-0.25% ได้ โดยเมื่อเดือนที่แล้วอัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะ 9.7% ขณะที่ตัวเลขว่างงานของสหรัฐจนถึงขณะนี้ร่วงลงไปแล้วเกือบ 7 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
กรีนสแปนคาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ถดถอยรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี จะสิ้นสุดลงและเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวรวดเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้
"เศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัวในอัตรา 2.5% เมื่อดูจากตัวเลขสต็อกสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่าปริมาณการผลิตปรับตัวขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับดีมานด์ของผู้บริโภค ผมมีมุมมองในด้านบวกต่อเศรษฐกิจในระยะใกล้ เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีเสถียรภาพบ้างแล้ว แต่ในระยะยาวนั้น เศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงและตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งหากราคาบ้านดิ่งลงราว 5% เศรษฐกิจก็อาจจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง แต่หากราคาบ้านร่วงลงมากกว่า 10% เศรษฐกิจก็อาจจะยังอยู่ในภาวะหดตัว และจำนวนบ้านที่ถูกยึดเพราะหลุดจำนองก็จะพุ่งขึ้นด้วย" กรีนสแปนกล่าวการแสดงความคิดเห็นเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจของกรีนสแปนสอดคล้องกับเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดคนปัจจุบันที่กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันบรู๊คกิงส์ ในกรุงวอชิงตัน เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีแห่งการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส ว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 ของสหรัฐจะสิ้นสุดลง