กลุ่มผู้ส่งออกของญี่ปุ่นกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและล้าหลังประเทศอื่นๆ หลังจากที่การค้าทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว ขณะที่รัฐบาลชุดใหม่ของญี่ปุ่นยังคงปูทางให้เงินเยนแข็งค่าจนมีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออกเหล่านี้
กระทรวงคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดการส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนส.ค.ร่วงลงไป 36% เมื่อเทียบกับระดับปีที่แล้ว นับเป็นสถิติที่อ่อนตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 แล้ว ขณะที่เงินเยนก็แข็งค่าขึ้นถึง 17% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้สินค้าของญี่ปุ่นมีราคาแพงในต่างประเทศ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อรายได้ในต่างประเทศของบริษัทผู้ส่งออก
บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน หลังจากที่นายฮิโรฮิสะ ฟูจิอิ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นให้คำมั่นว่าจะเพิ่มอำนาจในการซื้อของผู้บริโภค และชี้ว่า ตนเองไม่สนับสนุนให้เงินเยนอ่อนค่า ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลชุดใหม่ที่แตกต่างไปจากรัฐบาลชุดเก่าภายใต้การนำของพรรคเสรีประชาธิปไตย ซึ่งมีนโยบายสนับสนุนการส่งออกในฐานะเสาหลักในการนำพาเศรษฐกิจขยายตัว
เจสเปอร์ โคลล์ ซีอีโอของทีอาร์เจ แทนทอลลอน รีเสิร์ช เจแปน กล่าวว่า นับเป็นนโยบายที่ค่อนข้างจะดีในการเพิ่มอำนาจของผู้บริโภค แต่ปัญหาก็คือไม่ว่าคุณจะชอบนโยบายดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม แต่ญี่ปุ่นก็คือประเทศผู้ส่งออกสุทธิ ดังนั้นเงินเยนที่แข็งขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในญี่ปุ่น
เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นทำให้บริษัทผู้ส่งออกของญี่ปุ่น เช่น พานาโซนิค และโตโยต้า ต้องแข่งขันกับเกาหลีใต้ โดยเงินวอนของเกาหลีใต้ร่วงลงไปแล้ว 23% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เงินเยนทะยานขึ้นไปแล้ว 26%
ริชาร์ด เจอแรม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแมคควอรี ซิเคียวริตีส์ คาดว่าการแข็งค่าของเงินเยนอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกญี่ปุ่นมากกว่าผู้ส่งออกของเกาหลีใต้ และหากเราดูที่อัตราแลกเปลี่ยนของเงินวอนและเงินเยนเราก็จะเห็นเหตุผลที่ทำให้เกิดผลกระทบดังกล่าวได้