สินเชื่อผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนส.ค.ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากธนาคารยังคงคุมเข้มเงื่อนไขการปล่อยเงินกู้ ประกอบกับภาวะซบเซาในตลาดแรงงานทำให้ภาคครัวเรือนลังเลที่จะขอกู้เงินจากธนาคาร
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า สินเชื่อผู้บริโภคในเดือนส.ค.ปรับตัวลดลง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 5.8% ต่อปีมาอยู่ที่ระดับ 2.46 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวร่วงลงหนักกว่าที่นักวิเคราะห์จากโพลล์บลูมเบิร์กคาดว่า สินเชื่อผู้บริโภคของสหรัฐจะลดลง 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ อัตราสินเชื่อประเภทหมุนเวียน เช่น สินเชื่อในกลุ่มบัตรเครดิตในเดือนส.ค.ปรับตัวลดลง 9.91 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อัตราสินเชื่อประเภทไม่หมุนเวียน เช่น เงินกู้บ้านหรือรถยนต์ปรับตัวลดลง 2.07 พันล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้ในเดือนส.ค.ไต่ระดับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในอัตรา 0.2% และอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลง
การเปิดเผยตัวเลขจ้างงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า นายจ้างปรับลดพนักงานในเดือนก.ย.หนักกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐต้องหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังตอกย้ำถึงกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% ไปจนถึงปีหน้า
เอลเลน เซนท์เนอร์ นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ โตเกียว มิตซูบิชิ ยูเอฟเจกล่าวผ่านทางบลูมเบิร์กว่า "อุปสงค์ด้านสินเชื่อเริ่มแผ่วลง ขณะที่ภาคครัวเรือนไม่ต้องการสร้างหนี้ใหม่ ขณะที่พวกเขากำลังเร่งชำระหนี้สินที่มีอยู่เดิมให้ลดน้อยลง"