สมาคมเหล็กโลก (World Steel Association) คาดการณ์ว่า ภาวะซบเซาในตลาดเหล็กกล้าทั่วโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว และคาดว่าความต้องการเหล็กกล้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 9.2% แตะระดับ 1.2 พันล้านตันในปีหน้าเพราะได้แรงหนุนจากดีมานด์ในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นที่ดีดตัวขึ้น ขณะเดียวสมาคมเหล็กโลกคาดว่า ความต้องการเหล็กทั่วโลกในปีนี้จะลดลง 8.6% สู่ระดับ 1.104 พันล้านตัน ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลง 14%
นายเอียน คริสตมาส ผู้อำนวยการสมาคมเหล็กโลกเปิดเผยที่กรุงปักกิ่งในวันนี้ว่า "มีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าภาวะซบเซาในตลาดเหล็กกล้าทั่วโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าปริมาณการใช้เหล็กทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 9.2% เป็น 1.2 พันล้านเมตริกตันในปีหน้า ส่วนปริมาณการใช้เหล็กกล้าในจีนอาจขยายตัว 19% สู่ระดับ 526 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งจะช่วยจำกัดการหดตัวของดีมานด์เหล็กทั่วโลกได้"
คริสตมาสยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจจีนและอินเดียจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ขณะที่กำลังการผลิตเหล็กของโรงงานในสหรัฐอาจมีอยู่เพียง 45% เนื่องจากดีมานด์หดตัวลง ซึ่งต่างจากจีนมีอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งมากกว่า โดยคาดว่าผลผลิตเหล็กของจีนอาจพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ หลังจากรัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 5.86 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยหนุนราคาเหล็กเพิ่มขึ้น 20% นับตั้งแต่เดือนพ.ย.เป็นต้นมาก
กลุ่มผู้ผลิตเหล็กกล้าทั้งในจีน สหรัฐ และยุโรป กำลังเริ่มเดินเครื่องการผลิตอีกครั้ง เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น โดยบริษัท อาร์เซลอร์มิทตาล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกคาดการณ์ว่า กำไรหลังหักภาษีในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทเ เป๋าชาน ไอออน แอนด์ สตีล ของจีน คาดว่ากำไรช่วงครึ่งปีหลังจากเพิ่มขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ใช้เหล็กมากขึ้น
นอกจากนี้ สมาคมเหล็กโลกคาดว่า ความต้องการเหล็กกล้าในสหรัฐอาจร่วงลง 39% ในปีนี้ แต่จะดีดตัวขึ้น 19% สู่ระดับ 72 ล้านตันในปีหน้า และคาดว่าความต้องการเหล็กกล้าในสหภาพยุโรป (อียู) จะร่วงลง 33% แตะระดับ 122 ล้านตันในปีนี้ แต่จะเพิ่มขึ้น 12.4% ในปีหน้า ส่วนความต้องการเหล็กในญี่ปุ่นคาดว่าจะลดลง 31% ในปีนี้ แต่จะฟื้นตัวขึ้น 16% แตะที่ 61 ล้านตันในปีหน้า ขณะเดียวกันคาดว่าความต้องการเหล็กในจีนจะเพิ่มขึ้น 5% ในปีหน้า และคาดว่าความต้องการเหล็กในอินเดียจะเพิ่มขึ้น 12% ในปีหน้า
สมาคมเหล็กโลกระบุว่า ผลผลิตเหล็กทั่วโลกทรุดตัวลง 21.3% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งมีเพียงผู้ผลิตเหล็กของจีนและอินเดียเท่านั้นที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ โดยผลผลิตเหล็กของจีนเพิ่มขึ้น 1.2% ขณะที่ผลผลิตเหล็กของอินเดียขยับขึ้นเพียง 1.3% บลูมเบิร์กรายงาน