นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ กล่าวให้สัมภาษณ์ทางรายการ “Meet the Press" ของสถานีโทรทัศน์ NBC ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่ตัวเลขจ้างงานยังคงถดถอยเนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐเพิ่มข้อกำหนดด้านการปล่อยกู้ พร้อมกับเรียกร้องให้ธนาคารปล่อยวงเงินกู้ให้กับภาคธุรกิจมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบ
"ความเสี่ยงอันใหญ่หลวงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ก็คือการที่ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยเงินกู้มากเกินไปและไม่ยอมรับความเสี่ยงเอาไว้บ้าง ผมอยากให้ธนาคารพาณิชย์เปิดกว้างเพื่อรับความเสี่ยงอีกครั้งในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งสภาพคล่องที่ลื่นไหลในระบบการเงินมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ" ไกธ์เนอร์กล่าวทั้งนี้ แม้ไกธ์เนอร์เชื่อมั่นว่าระบบการธนาคารของสหรัฐมีเสถียรภาพมากกว่าในรอบกว่า 1 ปีที่แล้ว แต่เขายอมรับว่าการที่ธนาคารพาณิชย์ชะลอการปล่อยเงินกู้ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวนั้นจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบเศรษฐกิจและอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับ 10%
กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราการปล่อยเงินกู้ของสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (TARP) มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ ร่วงลง 17% ในเดือนส.ค. เหลือเพียง 2.347 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงเป็นเวลา 3 เดือนภายในระยะเวลา 6 เดือน
โดยในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ยอดการปล่อยวงเงินกู้ของแบงค์ ออฟ อเมริกา ลดลง 22% แตะที่ 5.71 หมื่นล้านดอลลาร์ ยอดปล่อยกู้ของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค ลดลง 18% แตะที่ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ลดลง 5% แตะที่ 4.38 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจีดีพีสหรัฐขยายตัว 3.5%ต่อปีในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการขยายตัวไตรมาสแรกหลังจากหดตัวมากว่า 1 ปี และขยายตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 3.2%ต่อปี อย่างไรก็ตาม ไกธ์เนอร์ยังคงวิตกกังวลเรื่องการจ้างงาน หลังจากอัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งแตะ 9.8% ในเดือนก.ย.
นักวิเคราะห์ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) ประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐ จะร่วงลงอีก 175,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นสถิติที่ร่วงลงรุนแรงสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนต.ค.จะพุ่งขึ้นแตะ 9.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งแม้รัฐบาลได้ใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลายด้านในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม