สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 พ.ย.) ซึ่งเป็นการร่วงลงวันแรกในรอบ 8 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนเทขายสัญญาทองคำหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงกดดันจากสัญญาน้ำมันดิบที่ร่วงอย่างหนักหลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเกินคาด
บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 8 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,106.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1117.5-1104.6 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 27.2 เซนต์ ปิดที่ 17.265 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 1.8 เซนต์ ปิดที่ 2.973 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 6.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,360 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมเดือนธ.ค.ปิดที่ 350.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดขึ้น 5.50 ดอลลาร์
ไมเกล เปเรซ ซาแทลลา นักวิเคราะห์จากบริษัท Heraeus Precious Metals Management กล่าวว่า "ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำผันผวนตั้งแต่ช่วงเช้า โดยมีทั้งแรงซื้อและแรงขายเข้ามาในตลาด ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อยังคงเป็นปัจจัยเดิมคือมองว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจยังเปราะบาง ส่วนปัจจัยที่กดดันนักลงทุนให้เทขายมาจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และสัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่ร่วงลงอย่างหนักหลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเกินคาด"
อารอน รีเจนท์ ประธานบริหารบริษัท บาร์ริค โกลด์ คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองรายใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวแสดงความคิดเห็นผ่านหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในปัจจุบัน แต่มีโอกาสน้อยมาก ที่ราคาจะร่วงลงต่ำกว่า 900 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งการคาดการณ์ของรีเจนท์สอดคล้องกับมาร์ค ฟาเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนชื่อดังระดับโลกที่เชื่อว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์