ผลสำรวจเผยนายจ้างในสหรัฐมีแผนปรับเพิ่มการจ้างพนักงานเป็นครั้งแรกในรอบปีในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีความเชื่อมั่นด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ย.ที่ลดลงน้อยสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2550 ด้วยตัวเลขที่ลดลงเพียง 11,000 ตำแหน่ง
ผลสำรวจแนวโน้มการจ้างงานล่าสุดที่จัดทำโดย แมนพาวเวอร์ บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลระดับโลกบ่งชี้ว่า การจ้างงานในสหรัฐช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6 จุดจากที่ติดลบ 2 จุดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพราะหลายบริษัทเริ่มเห็นถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์ และคาดว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะดีขึ้นแม้ว่าจะอัตราการขยายตัวจะไม่พุ่งสูงพรวดพราดมากก็ตาม
ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ชี้ว่าวิกฤตการณ์ในตลาดแรงงานที่เลวร้ายที่สุดหลักยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจสิ้นสุดลงแล้ว หลังอัตราว่างงานสหรัฐในเดือนพ.ย.ร่วงลงจากระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ระดับ 10.2% ในเดือนต.ค.มาอยู่ที่ 10% ในเดือนพ.ย. ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ตลาดแรงงานเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ในแง่บวก และเริ่มที่จะดีดตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยดัชนีการจ้างงานของแมนพาวเวอร์เริ่มดีขึ้น ขณะที่หลายบริษัทเริ่มเบนเข็มจากการลดตั้งเป้าลดจำนวนพนักงานมาเป็นการคงตำแหน่งพนักงานไว้ตามเดิม ซึ่ง 73% ของนายจ้างที่ทำการสำรวจคาดว่า จำนวนพนักงานในไตรมาสแรกของปีหน้าจะเริ่มคงที่ ขณะที่ 12% คาดว่าจะมีการเพิ่มการจ้างงานมากขึ้น และ 12% คาดว่าจะยังคงปลดพนักงาน
นอกเหนือจากสหรัฐที่มีแนวโน้มการจ้างงานที่ดีขึ้นในช่วงต้นปีหน้าแล้ว ตลาดแรงงานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เช่น จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน และออสเตรเลียก็มีทิศทางที่สดใสเช่นกัน ต่างจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น เม็กซิโก สเปน และไอร์แลนด์ที่มีแนวโน้มการจ้างงานซบเซามากที่สุด
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งแรกในเดือนธ.ค.2550 เศรษฐกิจในประเทศต้องสูญเสียแรงงานไปแล้วถึง 7.2 ล้านราย