นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ทิศทางนโยบายและมาตรการรองรับภายใต้พันธกรณี AFTA" โดยมั่นใจว่า การเปิดเสรีการค้าในกลุ่มอาเซียนจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ และยังได้เปรียบดุลการค้า โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้าดังกล่าว
"ในภาพรวม เรามีความมั่นใจว่าการเปิดการค้าเสรี และการดำเนินการตามขั้นตอนจะสามารถทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้ ขยายฐานการค้าอาเซียนได้ และยังได้เปรียบดุลการค้าอย่างต่อเนื่องต่อไป" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ประเทศในกลุ่มอาเซียนถือว่าเป็นคู่ค้าในลำดับต้นๆ ของไทย โดยการเปิดเสรีการค้าอาเซียนแม้จะมีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ แต่มั่นใจว่าผลในทางบวกจะมีมากกว่า และยิ่งถ้าสามารถบริหารจัดการได้ดีก็จะทำให้เกิดผลเสียหายน้อยมาก
สำหรับข้อห่วงใยเป็นพิเศษในกลุ่มสินค้าเกษตรที่จะปรับลดภาษีภายในกลุ่มอาเซียนเหลือ 0% ตั้งแต่ 1 ม.ค.53 นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลได้วางแนวทางการรับมือไว้แล้ว รวมถึงการเปิดเสรีการลงทุนในธุรกิจ 3 ประเภท คือ เพาะพันธุ์-ปรับปรุงพันธุ์พืช, ป่าไม้ และสัตว์น้ำ โดยได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ(กนศ.) ไปศึกษารายละเอียดข้อตกลงต่างๆ ที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณี และในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ก็จะเข้าไปช่วยดูเรื่องการปรับเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ เพื่อดูแลกิจการของคนไทยให้ได้รับการคุ้มครอง
อนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.53 เป็นต้นไป ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน(AFTA) จะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ โดยจะมีการเดินหน้าปรับลดภาษีเหลือ 0% ในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ยกเว้นสินค้าในกลุ่มที่อ่อนไหว ใน 6 ประเทศของกลุ่มอาเซียน คือ ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และบรูไน ส่วนอีก 4 ประเทศที่เหลือจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 58 คือ เวียดนาม, ลาว, พม่า และกัมพูชา