นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในย่านวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตรา 3.5% ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นสถิติที่ขยายตัวได้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย ขณะเดียวกันคาดว่าภาคเอกชนของสหรัฐจะเพิ่มอัตราการลงทุนและการจ้างงาน นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กและรายได้ส่วนบุคคล จะช่วยกระตุ้นชาวอเมริกันให้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้ภาคเอกชนเพิ่มปริมาณการซื้อสินค้าเข้าสู่สต็อกเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในปีหน้า
นักวิเคราะห์รายหนึ่งซึ่งเคยเป็นอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่า ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนของสหรัฐจะพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 พร้อมกับคาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐในปีหน้าจะขยายตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งมากพอที่จะฉุดอัตราว่างงานให้ร่วงลงสู่ระดับเฉลี่ย 9.6% และเชื่อว่าอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 9% ภายในปลายปี 2553
อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเฟดยังกล่าวด้วยว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในขณะนี้จะเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับในอดีต รวมถึงการที่อำนาจซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันเบนซินร่วงลง 61% และคาดว่าอำนาจซื้อของผู้บริโภคจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ซึ่งเศรษฐกิจที่เติบโตรวดเร็วเช่นนี้จะช่วยให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นและจะช่วยหนุนสกุลเงินดอลลาร์ให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ปรับลดการประเมินตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 โดยประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัวเพียง 2.2% ต่ำกว่าที่มีการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.8% เนื่องจากผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย, การก่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่ยังคงชะลอตัว, การลงทุนด้านอุปกรณ์และซอฟแวร์ยังคงอ่อนตัว และบริษัทเอกชนปรับลดสินค้าในสต็อก
ถึงกระนั้นก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า จีดีพีไตรมาส 3 ของสหรัฐยังสามารถขยายตัวได้ หลังจากที่สหรัฐต้องเผชิญกับตัวเลขจีดีพีหดตัวลงติดต่อกันยาวนานถึง 4 ไตรมาส ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในสหรัฐได้สิ้นสุดลงแล้ว