นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า ปัจจัยเศรษฐกิจเดือน พ.ย.52 ในส่วนของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทั้งการอุปโภคบริโภค การและการลงทุน
อุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นมาจากการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก โดยรายได้ภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของลูกจ้างและเกษตรกร ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับสูงขึ้นต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนได้มากขึ้น และยอดการปล่อยสินเชื่อในภาคสถาบันการเงิน เร่งตัวขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อครัวเรือน เช่น สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่ออุปโภคบริโภค
ดัชนีอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้น จากที่ติดลบ 0.9% ในเดือน ต.ค.มาเป็นบวก 4.0% ในเดือน พ.ย. 52 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันหลายเดือน และปรับตัวเข้าสู่ระดับเดียวกับก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ โดย พ.ย.52 อยู่ที่ 76.5 จากระดับ 75.4 ในเดือน ต.ค.52
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่อัตราการเร่งตัวจะทยอยปรับตัวขึ้น โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ลดลง 6.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากเทียบเดือนก่อนหน้าปรับตัวดีขึ้น 1.8% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน
ปัจจัยหนุนการลงทุนภาคเอกชน เกิดจากการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการเร่งการผลิตเพื่อการส่งออกในเดือน ต.ค.ที่มีมาก ประกอบกับนักลงทุนยังกังวลปัญหาการเมืองและกรณีมาบตาพุด รวมถึงยังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก แม้จะมีสัญญาณชัดเจนแต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเศรษฐกิจโลกยังมีปัญหาหนี้สาธารณะในระดับสูง และยังมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ พ.ย. 52 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 49 ลดลงจาก ต.ค.52 ที่อยู่ระดับ 50.3 ซึ่งภาคธุรกิจเชื่อว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายการลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจอีก 3 เดือนข้างหน้า ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 54.3