บีพีปลื้มราคาน้ำมันดิบและผลผลิตปรับตัวสูงขึ้นหนุนผลกำไรไตรมาส 4 ปี 2552 ขยายตัวสดใส หลังจากที่ปีก่อนหน้านี้ บริษัทประสบภาวะขาดทุน
บีพีระบุในแถลงการณ์ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2552 อยู่ที่ 4.3 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับที่ขาดทุน 3.3 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้านี้ ขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันในปี 2552 เพิ่มขึ้น 4% แตะระดับ 3.998 ล้านบาร์เรล/วัน และมูลค่าหุ้นในปีที่แล้วทะยานขึ้น 23%
ทั้งนี้ บีพีเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่นำร่องเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 เป็นรายแรกในบรรดาบริษัทน้ำมันในยุโรป และยังสามารถก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงสุด หลังจากที่ได้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกและปรับลดราคาต้นทุนได้มากขึ้น
โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยที่ตลาดนิวยอร์กเพิ่มขึ้น 29% จากช่วงไตรมาส 4 ของปี 2551 ซึ่งช่วยหนุนให้บริษัททำกำไรได้มากขึ้น แม้ว่าผลกำไรจากน้ำมันกลั่นจะยังอยู่มีแรงกดดันอยู่ก็ตาม
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า บีพียังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมาก แม้ว่าบริษัทจะมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งจากที่ตั้งเป้าเพิ่มผลผลิตน้ำมันจากอ่าวเม็กซิโกอีก 50% หลังประกาศแผนการสำรวจแหล่งน้ำมันครั้งใหญ่ที่ไทเบอร์ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บีพีอาจทุ่มเงินลงทุนราว 1.5 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทพันธมิตรในอิรัก ขณะเดียวกันก็หาทางกระตุ้นผลผลิตน้ำมันดิบที่แหล่งสำรองน้ำมัน Rumaila โดยทางบีพีและไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม คอร์ป ได้คว้าสัญญาการให้บริการพัฒนาแหล่งน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การรายงานผลกำไรที่สดใสของบีพีในวันนี้มีขึ้นหลังจากที่เมื่อวานนี้ เอ็กซอนโมบิล บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐรายงานผลกำไรที่ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ที่ระดับ 6.05 พันล้านดอลลาร์ ส่วนเชฟรอน คอร์ป เปิดเผยรายได้ที่ลดลง 37% สู่ระดับ 3.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เชลล์ ซึ่งเพิ่งสูญเสียตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงสุดให้กับบีพีจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดีนี้