ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า จีนและสหรัฐอเมริกายังจะต้องยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าวิกฤตหนี้ในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เพราะตอนนี้ เศรษฐกิจโลกอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
ไกธ์เนอร์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวก่อนที่จะเข้าร่วมการประชุม U.S.-China Strategic Economic Dialogue (S&ED) ครั้งที่สอง ที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 24-25 พ.ค.นี้
รมว.คลังสหรัฐชี้ว่า คำกล่าวที่ว่า "ยืนเคียงข้างกันทุกสถานการณ์" ซึ่งเขาได้เคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่งในการประชุม S&ED ครั้งแรกเมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้วนั้น ยังคงเป็นเรื่องจริงในขณะที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีของจีนและสหรัฐเผชิญสถานการณ์ขึ้นๆลงๆตลอดปีที่ผ่านมา รวมถึงสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
"ความสัมพันธ์กับจีนแข็งแกร่งมากในทุกๆด้าน" ไกธ์เนอร์กล่าว "ผมคิดว่าทั้งสองประเทศได้แสดงบทบาทสำคัญอย่างมากในการพยายามนำพาเศรษฐกิจโลกให้พ้นจากวิกฤตการเงิน"เขากล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความสมดุลมากขึ้น พร้อมกับระบุว่า ความต้องการในประเทศจีนที่ขยายตัวขึ้นกำลังทำให้เกิดความหวังและความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยอดเกินดุลการค้าของจีนก็ปรับตัวลดลงอย่างมาก
ในฝั่งของสหรัฐนั้น ไกธ์เนอร์กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวต่อเนื่องมาเกือบปีแล้ว โดยการฟื้นตัวนี้มีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่การบริโภค เนื่องจากประชาชนออมเงินกันมากขึ้นนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง
"จีนและสหรัฐกำลังทำในสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง" ไกธ์เนอร์กล่าวทั้งนี้ ไกธ์เนอร์ และรมว.ต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน จะเป็นผู้นำหัวหน้าหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐจำนวน 16 คน มาประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนในการประชุมระดับทวิภาคีประจำปีที่เพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่สองนี้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใน 4 ด้านหลักๆ ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการขยายตัวที่มีความสมดุลมากขึ้น ระบบการเงินที่ยืดหยุ่น และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเงินในระดับสากล
เขากล่าวว่า การประชุม S&ED เป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศได้สร้างสัมพันธ์และความร่วมมือให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเงินในช่วงเวลาที่มีความท้าทายต่างๆเกิดขึ้นทั่วโลก
สำหรับสถานการณ์โลกนั้น ไกธ์เนอร์มีมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวก โดยเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ว่า วิกฤตหนี้สาธารณะกำลังกลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อเศรษฐกิจโลก เพราะปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งขึ้นมาก และจะสามารถต้านทานแรงกดดันที่มาจากยุโรปได้
"มีปัญหาเกิดขึ้นในยุโรปตอนนี้ แต่ผมคิดว่าเราอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งกว่ามากที่จะจัดการรับมือกับความท้าทายเหล่านั้น"เขากล่าวด้วยว่า เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเพราะทั่วโลกเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากพอสมควร
ขุนคลังสหรัฐกล่าวกับซินหัวว่า คณะทำงานของประธานาธิบดี บารัค โอบามา กำลังจัดการกับปัญหาขาดดุลอย่างจริงจัง โดยยอดขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐเป็นประเด็นที่จีนเป็นห่วงมาก ในฐานะที่จีนเป็นผู้ถือครองสินทรัพย์ของรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุด
ในด้านการปฏิรูปการกำกับดูแลการเงินนั้น ไกธ์เนอร์กล่าวว่า "วิกฤตการเงินได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวง ดังนั้นเราจึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก มากกว่าประเทศเศรษฐกิจรายใหญ่อื่นๆ ในการปฏิรูประบบการเงินตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจว่า สหรัฐคือแหล่งกำเนิดของการขยายตัวและเสถียรภาพ ไม่ใช่ต้นกำเนิดของความไร้เสถียรภาพของระบบการเงินโลก"