นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การที่กระทรวงการคลังปรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 53 ขึ้นมาที่ 5-6% เป็นทิศทางเดียวที่ธปท.ประเมินไปเมื่อเดือน เม.ย. ซึ่งสะท้อนปัจจัยบวกที่ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน
ส่วนในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 14 ก.ค.คณะกรรมการฯ จะมีการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 53 และปี 54 อีกครั้ง ซึ่งจะดูปัจจัยใหม่ที่เข้ามา หลักๆ คือเศรษฐกิจโลกจะมีผลกระทบศกไทยมากน้อยแค่ไหน ข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ของไทยจะได้ตัวเลขเศรษฐกิจเดือน พ.ค. ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากการเมืองมากที่สุด
และ แรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อจะมีมากขึ้นหรือไม่ ปัญหาภัยแล้งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร แต่เท่าที่ดูตอนนี้ปริมาณฝนมีมากขึ้น ปัญหาน่าจะผ่อนคลายมากขึ้น รวมทั้ง การต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพ และการตรึงราคาก๊าซด้วย
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อ ปี 53 ยังไม่เร่งขึ้นเหมือนกับที่ ธปท.ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ แต่เงินเฟ้อจะเร่งขึ้นในกลางปี 54 หลังมาตรการช่วยค่าครองชีพเหล่านี้หมดลง
นายบัณฑิต กล่าวต่อว่า การอุดหนุนราคาสินค้าและมาตราการ อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องต้นทุนแรงงาน และต้นทุนที่แท้จริงบิดเบือนไป ดังนั้น ธปท.จะดูดัชนีชี้วัดตัวอื่นประกอบด้วย ดัชนีการผลิตการผลิต ดัชนีพืชผล ดัชนีสินค้านำเข้า ดัชนีบริการและแรงงานว่าจะมีผลต่อการเร่งตัวของเงินเฟ้อแค่ไหน การแข่งขันในประเทศจะเป็นอย่างไร
"การที่มาตรการเหล่านี้ถูกใช้มากๆ อาจจะก่อให้เกิดการกดดันและบิดเบือนต่อการตัดสินใจลงทุนได้" นายบัณฑิต กล่าว