SCBมองงบ'54 กระตุ้นศก.เพิ่มขึ้น จากยอดprimary deficitสูงถึง 3.2%ของGDP

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 17, 2010 11:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า นโยบายการคลังปีงบประมาณ 54 จะกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าในปี 52-53 เนื่องจากมียอด primary deficit (ยอดการขาดดุลการคลังที่ไม่รวมรายจ่ายที่เกี่ยวกับภาระหนี้) สูงกว่า โดยในปีงบประมาณ 54 มี primary deficit ถึง 3.2% ของ GDP ในขณะที่ปีงบประมาณ 52 และ 53 มีเพียง 2.3% และ 1.3% ของ GDP

แม้ว่างบประมาณส่วนใหญ่คาดว่าจะถูกใช้ไปในรายจ่ายประจำเหมือนช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีรายจ่ายลงทุนไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น ภายใต้งบประมาณ 54 ทางเลือกเดียวของรัฐในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ คือการกู้ แต่ฐานะการคลังของไทยยังไม่น่าเป็นห่วงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันยอดขาดดุลการคลังและยอดหนี้สาธารณะอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และในอนาคตแม้หนี้สาธารณะต่อ GDP อาจเพิ่มขึ้นแต่จะไม่เพิ่มเร็ว

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 54 ตั้งงบประมาณขาดดุล (headline deficit) สูงถึง 4.2 แสนล้านบาท (4.1% ของ GDP) แต่ถ้าหักรายจ่ายที่เกี่ยวกับภาระหนี้ที่ไม่มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ (-33 พันล้านบาท) รายจ่ายชดเชยเงินคงคลัง (-30 พันล้านบาท) และรายจ่ายดอกเบี้ย (-179 พันล้านบาท) ออกไปแล้ว จะเหลือ primary deficit จากการขาดดุลในงบประมาณเพียง 178 พันล้านบาท หรือ 1.7% ของ GDP และเมื่อรวมเงินนอกงบประมาณจากมาตรการไทยเข้มแข็งที่น่าจะเบิกจ่ายได้ประมาณ 150 พันล้านบาท หรือ 1.5% ของ GDP จะทำให้ primary deficit จากในและนอกงบประมาณปี 54 เท่ากับ 3.2%ของ GDP ซึ่งมากกว่าปีก่อนๆ

แต่งบประมาณส่วนใหญ่คาดว่าจะถูกใช้ไปในรายจ่ายประจำเหมือนช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีรายจ่ายลงทุนไม่มากเท่าที่ควร เพราะระหว่างปีงบประมาณตลอด 10 ปีที่ผ่านมา งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้น 1,160 พันล้านบาท จาก 910 เป็น 2,070 พันล้านบาท ในขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นเพียง 24 พันล้านบาท ในทางตรงกันข้ามรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นถึง 1,105 พันล้านบาท ซึ่งอาจพูดได้ว่างบประมาณที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถูกใช้ไปเป็นรายจ่ายประจำนั่นเอง ดังนั้นภายใต้งบประมาณ 54 ทางเลือกเดียวของรัฐในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ คือการกู้

นายเศรษฐพุฒิ เชื่อว่า ฐานะการคลังของไทยยังไม่น่าเป็นห่วงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เนื่องจากในปัจจุบันมีความเสี่ยงทางการคลังต่ำ โดยเห็นได้จากยอดหนี้สาธารณะ และขาดดุลการคลังต่อ GDP ที่ต่ำกว่าประเทศในยุโรปที่มีปัญหาวิกฤติทางการคลังและประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนในอนาคตฐานะการคลังก็ยังไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากแม้หนี้สาธารณะต่อ GDP อาจเพิ่มขึ้นแต่จะไม่เพิ่มเร็ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ