นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้อนุญาตให้บริษัทต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทยเดือนส.ค. มีจำนวน 21 ราย เม็ดเงินลงทุน 1,944 ล้านบาท มีการจ้างงานคนไทย 234 คน
สำหรับจำนวนธุรกิจต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตเท่ากับเดือนก.ค.53 แต่เงินลงทุนลดลงถึง 13,080 ล้านบาท เนื่องจากเดือนก.ค.มีการขออนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจบริการทางการเงิน ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง
อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนส.ค.52 จำนวนผู้ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 และเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 1,561 ล้านบาท ซึ่งในเดือนส.ค.53 มีการอนุญาตธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในด้านต่าง ๆ เช่น ซีจีจี เวอริทัช เซอร์วิสเซส เอส. เอ. จากประเทศฝรั่งเศส ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบริการสำรวจทางธรณีวิทยาด้วยวิธีวัดความไหวสะเทือนแบบ 3 มิติ บริษัท วาย เอส ภัณฑ์ จำกัด ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจค้าส่งและบริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนโลหะและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนโลหะ ท่อโลหะ ท่อไอเสีย หม้อเก็บเสียง และชิ้นส่วนโลหะปั๊มขึ้นรูปสำหรับยานพาหนะให้แก่บริษัทในกลุ่มและผู้ประกอบการยานยนต์ ภายใต้เครื่องหมายการค้า TOYOTA NISSAN และ HINO
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯยังอนุมัติหลักการให้บริษัท เวทเธอร์ฟอร์ด เคเอสพี จำกัด ประกอบธุรกิจบริการให้เช่า ให้เช่าแบบ ลีสซิ่งและให้เช่าซื้อ ติดตั้ง ซ่อมแซมบำรุงรักษา ปรับปรุงเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และซ่อมแซมหลุมปิโตรเลียม ตลอดจนสนับสนุนกระบวนการสำรวจและการขุดเจาะให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเลียมต่อไปได้ ภายหลังจากที่มีการโอนหุ้นให้กับ เวทเธอร์ฟอร์ด โฮลดิ้ง (สิงคโปร์) พีทีอี แอลทีดี จากประเทศสิงคโปร์ เป็นผลให้ เวทเธอร์ฟอร์ด โฮลดิ้ง (สิงคโปร์) พีทีอี แอลทีดี จะต้องนำเงินเข้ามาลงทุนจำนวน 198 ล้านบาท และทำให้ยังคงมีการจ้างงานคนไทยต่อไปอีกประมาณ 284 คนด้วย
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เดือนมี.ค. 43 ที่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จนถึงเดือนส.ค.53 คณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจไปแล้ว 2,539 ราย และมีการนำเงินเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ 52,906 ล้านบาท