สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทั่วโลก รวมถึงข้อมูลภาคการผลิตของสหรัฐและจีน ทำให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตที่สดใสของจีนและสหรัฐช่วยหนุสัญญาโลหะทองแดงพุ่งขึ้น เนื่องจากทองแดงเป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับภาคการผลิต
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 2.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,248.10 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,244.10 - 1,256.60 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.90 เซนต์ ปิดที่ 19.393 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 10.75 เซนต์ ปิดที่ 3.4775 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 12.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,535.70 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 18.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 520.10 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในช่วงเช้านั้น สัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับ 1,256.6 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.เป็นต้นมา หลังจาก ADP Employer Services รายงานว่า ภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐลดการจ้างงานลง 10,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. สวนทางกับเดือนก.ค.ที่ภาคเอกชนเพิ่มการจ้างงาน 37,000 ตำแหน่ง และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนก.ค.ของสหรัฐดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี
แต่หลังจากนั้นไม่นาน นักลงทุนเริ่มเทขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 56.3 จุด จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 55.5 จุด ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 53.0 จุด
นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนส.ค.อยู่ที่ระดับ 51.7% เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนจะขยายตัวขึ้นอีกในเดือนก.ย.และต่อเนื่องไปจนถึงช่วงครึ่งหลังของปีนี้