ผู้บริหารธุรกิจขนาดเล็กและนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่า การที่วุฒิสภาสหรัฐมีมติผ่านกฎหมายช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กเมื่อวานนี้นั้น คงจะส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อธุรกิจขนาดเล็กซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการจะช่วยเหลือ เนื่องจากดีมานด์ผู้บริโภคยังคงอ่อนแอ
มาตรการดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาแล้วและจะต้องผ่านการพิจารณาเพื่ออนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ซึ่งกฏหมายใหม่นี้กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งจะครอบคลุมวงเงินที่ใช้ในการลดภาษีประมาณ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์
แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะมีมุมมองที่เป็นบวกว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างงานใหม่อีก 500,000 ตำแหน่ง แต่นักวิเคราะห์มองว่า ชาวอเมริกันมีเหตุผลมากมายที่ลดการใช้จ่ายของตัวเอง ประเด็นเรื่องความกลัวที่จะถูกเลย์ออฟก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เห็นได้ชัด ชาวอเมริกันประหยัดกันมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยยาวนานกว่า 2 ปี หากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายและทำให้ดีมานด์สินค้าลดน้อยลงแล้ว กฎหมายฉบับใหม่ก็คงจะมีผลไม่มากนัก
วิลเลียม ดันเคลเบิร์ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสหพันธุ์ธุรกิจอิสระ กล่าวว่า คุณจะซื้อสินค้าเข้าสต็อกหรือไม่ ถ้าผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้า คุณจะซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆเพื่อผลิตสินค้ามากขึ้นหรือไม่ ถ้าผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าที่คุณกำลังผลิตอยู่ คำตอบก็คือ ไม่ ด้านนักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า การลดภาษีตามกฎหมายใหม่นั้นถือเป็นข้อตกลงที่มีเป้าหมายไปที่ธุรกิจมากกว่าผู้บริโภค ซึ่งไม่ได้ช่วยกระตุ้นดีมานด์แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม การลดภาษีในระยะยาวนั้นจะช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยการกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายกันมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กด้วยเช่นกัน
ดันเคลเบิร์ก กล่าวต่อไปว่า หัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ก็คือ เงินทุนที่จะปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดเล็กหลายรายลังเลที่จะกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจในขณะที่ตนเองยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และมาตรการจากรัฐบาล
ขณะที่นักวิเคราะห์รายอื่นๆมองว่า ขอบเขตของกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ และมองว่า ขอบเขตของกฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญน้อยมากสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือลดอัตราว่างงาน
ดีน เบเกอร์ ผู้อำนวยการร่วมศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและนโยบาย กล่าวว่า งานนี้เรียกได้ว่าเป็นแค่โชว์แค่นั้น ดูเหมือนว่า ธุรกิจขนาดเล็กจะไม่ได้รับสินเชื่อ เพราะแบงค์เองไม่มีเงินที่จะปล่อยกู้มากกว่า ผมมองไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลใดที่จะสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายนี้ออกมาอีก
องค์กรธุรกิจขนาดเล็กอื่นๆ เช่น สมาคมธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐได้ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ เพื่อโจมตีวิธีการรับมือกับธุรกิจขนาดเล็กของประธานาธิบดีบารัค โอบามา โดยโจมตีว่า คณะทำงานด้านธุรกิจขนาดเล็กของโอบามาไม่ได้ให้คำแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแปลงสัญญาของธุรกิจขนาดเล็กที่ทำกับบริษัทรายใหญ่ๆในสหรัฐและยุโรป
ก่อนหน้านี้ ทางสมาคมได้กล่าวหาโอบามาว่า ชี้นำสื่อในทางที่ผิดด้วยการอ้างว่า การเปลี่ยนแปลงสัญญาของธุรกิจขนาดเล็กเป็นผลพวงของความผิดพลาดในการตีความและการให้ข้อมูลข่าวสาร และระบุว่าประธานาธิบดีสหรัฐได้จัดสรรเงินทุนไม่ถึง 2% ของวงเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ส่งตรงถึงธุรกิจขนาดเล็ก
อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางรายมองว่า กฎหมายฉบับนี้มีมาตรการบางอย่างที่อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เช่น มาตรการในเรื่องงบประมาณการลงทุน แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ออกมา แต่ส.ส.เดโมแครตและประธานาธิบดีสหรัฐก็ยังมีมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าว
โอบามา กล่าวว่า ในช่วงที่เจ้าของกิจการขนาดเล็กยังมีปัญหาในเรื่องเงินภาษีที่หักจากเงินเดือนหรือค่าจ้าง และยังคงงดการจ้างงานอยู่นั้น เราได้ผลักดันแผนการบรรเทาภาระด้านภาษีและช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถเข้าถึงเงินกู้ได้มากขึ้นออกมา
สมาคมเครื่องมือและเครื่องจักรแห่งชาติ และสมาคมพัฒนาโลหะพอใจกับการอนุมัติกฎหมายโดยวุฒิสภาในครั้งนี้ และออกแถลงการณ์ว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้กลุ่มผู้ผลิตขนาดเล็กและขนาดกลางเข้าถึงสินเชื่อ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้มีเงินหมุนเวียนเพื่อดำเนินงานวันต่อวันต่อไปได้
กฎหมายฉบับนี้ออกมาในช่วงทำเนียบขาวและสมาชิกเดโมแครตในสภาคองเกรสกำลังพยายามที่จะแสดงให้ประชาชนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเห็นว่า รัฐบาลและพรรคเดโมแครตกำลังแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การเลือกตั้งสภาคองเกรสที่จะจัดขึ้นในเดือนพ.ย. และมีแนวโน้มว่า เดโมแครตจะสูญเสียที่นั่งในการเลือกตั้งดังกล่าว
หลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลโอบามาให้ความสนใจกับการผ่านกฎหมายยกเครื่องระบบประกันสุขภาพเมื่อปีที่แล้วมากกว่าที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซาเสียอีก
ดันเคลเบิร์ก กล่าวว่า เศรษฐกิจอยู่ในสภาพที่อ่อนแอจริงๆ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในขณะนี้นั้นดูเหมือนว่า จะไม่ได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจเอาเสียเลย
นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า พรรครีพับลิกันอาจจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งเดือนพ.ย.นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์อีกหลายรายมองว่า รัฐบาลโอบามาไม่ได้เป็นต้นตอที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย และกล่าวว่ารัฐบาลกำลังทำในสิ่งที่สามารถทำได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ย่ำแย่
ในระยะยาวนั้น นักเศรษฐศาสตร์บางรายเชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐอาจจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเมสซีโรว์ ไฟแนนเชียล กล่าวว่า ประเด็นที่สำคัญก็คือ เรามีระบบการเงินที่ก่อตั้งมาในรูปหนึ่ง และระบบการเงินดังกล่าวก็อยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้าง และระบบการเงินนี้ก็ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดเล็ก ดังนั้นเราจำเป็นต้องกลับมาคิดถึงกระบวนการทั้งหมดใหม่อีกครั้ง
แมทธิว รัสลิง จากสำนักข่าวซินหัวรายงาน