สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 ก.ย.) โดยราคาสัญญาไต่ระดับขึ้นไปอยู่เหนือเพดาน 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ในการซื้อขายช่วงเช้า เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 1.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,298.1 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,290.60 - 1,301.60 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 18.60 เซนต์ ปิดที่ 21.399 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.75 เซนต์ ปิดที่ 3.6180 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 6.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,639.80 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 3.65 ดอลลาร์ ปิดที่ 560.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ภาวะการซื้อขายในทองคำได้รับปัจจัยหนุนจากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับตระกร้าสกุลเงินอื่นๆ ท่ามกลางการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดในยุโรป ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจในสหรัฐปรับตัวดีขึ้น แต่ยังไม่เป็นที่พอใจของนักลงทุนมากนัก
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกภาคอุตสาหกรรมขนส่งปรับตัวสูงขึ้น 2% ในเดือนส.ค. ทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า โดยมียอดสั่งซื้อสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสารไต่ระดับขึ้น 4.1% หลังจากที่ร่วงลง 5.3% ในเดือนก.ค. อย่างไรก็ตาม อุปสงค์สินค้าคงทนโดยรวมในเดือนส.ค.ปรับตัวลดลง 1.3% จากผลกระทบของยอดสั่งซื้อเครื่องบินที่ดิ่งลงอย่างหนัก
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานยอดขายบ้านใหม่ในเดือนส.ค.ที่ดีดตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยจากเดือนก.ค.ที่อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์เริ่มรวบรวมข้อมูลยอดการขายบ้านในปี 2506 โดยยอดขายในเดือนส.ค.กระเตื้องขึ้น 4.3% แต่ยังน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่จำนวนบ้านที่ขายได้นั้นทรงตัวเท่ากับระดับของเดือนก.ค.ที่ 288,000 ยูนิตต่อปี ส่วนราคากลางดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปี
ทั้งนี้ จากข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวได้จุดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งการดำเนินมาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก